[TRANS] Atae Shinjiro Coming out Announcement

 

     สวัสดีค่ะ หลังจากที่เมื่อวานอาตาเอะ ชินจิโร่ เมนเราได้ประกาศคัมมิ่งเอาท์ในอีเวนต์ที่จัดขึ้นและมีลงข่าวกันมากมาย เราในฐานะเมนชินที่ติดตามกันมานานรู้สึกดีใจที่ชินกล้าออกมาพูดยอมรับในความเป็นตัวเอง ซึ่งเราคิดว่าเป็นมูฟเม้นต์ที่สำคัญมากที่คนคนหนึ่งกล้าออกมาเปิดตัวว่าเป็นเกย์ โดยเฉพาะในสังคมปิตาธิปไตยหนักแบบญี่ปุ่น เราภูมิใจในตัวชินมากค่ะ หลังจากนี้ไปก็จะคอยซัพพอร์ตชินต่อไปเรื่อยๆ แน่นอน


     สำหรับแปลประกาศในคราวนี้เราหยิบเนื้อหามาจากสปีชที่ชินพูดในงานและลงเนื้อหาเต็มในเว็บโอริกอน (พาร์ทแรก พาร์ทหลัง) มาแปลนะคะ ในส่วนที่ชินเขียนในอินสตาแกรมเราจะไม่แปลเพราะชินมีภาษาอังกฤษกำกับไว้อยู่แล้ว และข้อความของสมาชิกเราจะแปลเฉพาะส่วนที่เป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นค่ะ ขออนุญาตแจ้งไว้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*





  ข้อความประกาศแบบเต็ม  


เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้อาจไม่ใช่เนื้อหาที่ทุกคนคาดหวังและต้องการกันนะครับ ในนี้น่าจะมีคนที่ต้องการเวลาในการทำความเข้าใจด้วย แต่ผมก็หวังให้เรื่องที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ช่วยให้ทุกท่านเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและช่วยเปลี่ยนแปลงโลกได้แม้สักนิดครับ วันนี้ ผมได้ยินจากสตาฟว่ามีแฟนๆ ที่มาร่วมงานกันแม้ว่าจะมาไม่ได้เพราะที่นั่งมีจำกัดด้วยครับ


ความจริงแล้วเรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมเองก็มีทางเลือกที่จะประกาศผ่านทาง SNS หรืองานแถลงข่าวด้วยเช่นกัน แต่วันนี้ไม่ว่าอย่างไรผมก็คิดว่าผมควรมองหน้าทุกคนพร้อมกับพูดออกมาโดยตรงจึงขอให้จัดออกมาในรูปแบบนี้ครับ ตัวผมเองต่อสู้กับความกังวลนี้มานานมากครับ ที่จริงแล้วในช่วงหลายปีมานี้ ผมไม่อาจรับอีกส่วนหนึ่งของตัวเองได้เลยครับ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งหลายอย่าง และในที่สุดตอนนี้ก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ให้แก่ทุกคนทราบได้แล้วครับ


นั่นคือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ครับ ทุกคนอาจจะตกใจกันมากก็ได้ แต่กรุณาช่วยฟังกันจนจบด้วยนะครับ ผมใช้เวลายาวนานมากกว่าจะตัดสินใจคัมมิ่งเอาท์ครับ ขนาดตัวเองยังเคยรับในเพศวิถีของตัวเองไม่ได้เลยครับ ทั้งยังเคยรู้สึกกลัวว่าถ้าตัวผมยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์แล้ว คราวหน้าโลกคงจะไม่ยอมรับตัวผมในฐานะศิลปินอีกหรือเปล่า แต่หลังจากผมทุกข์ใจจนตกตะกอน ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องบอกเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมากับแฟนๆ ทุกท่านและทุกคนที่ให้ความสำคัญกับผม และเพื่อให้ตัวผมเองยอมรับความจริงด้วยครับ


ทั้งนี้ ผมอยากให้ทุกท่านที่อยู่ในสภาวะแบบเดียวกับผมได้มีความกล้าขึ้นมาด้วยครับ อยากให้เข้าใจครับว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยว ก่อนจะตัดสินใจคัมมิ่งเอาท์ ผมเคยคิดว่าทางเลือกมีแค่สองทางเท่านั้น ทางแรกคือไม่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและยังอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป ส่วนอีกทางหนึ่งคือออกจากวงการบันเทิง ซ่อนตัวเองจากสังคมและใช้ชีวิตเงียบๆ ครับ


แต่เมื่อผมได้ครุ่นคิดมากมายแล้วจึงมาถึงทางเลือกที่สามจนได้ครับ นั่นคือการประกาศว่าเป็นเกย์และทำกิจกรรมในวงการบันเทิงต่อไปครับ เพราะผมอยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็น และไม่อยากจะยอมแพ้กับการทำกิจกรรมในวงการบันเทิงที่ผมรักครับ ผมไม่ได้จะถือโอกาสนี้มาบอกว่าผมจะเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงนะครับ ผมอยากให้การเปิดเผยเรื่องนี้ทำให้ทุกคนได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวผมและเป็นการกระชับระยะห่างกับแฟนๆ ทุกคนมากกว่าครับ


ผมใช้เวลากว่าจะเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่ตอนนี้เมื่อหันกลับไปมองก็รู้สึกเหมือนผมรู้ตัวมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วครับ ช่วงที่ผมยังเด็กเป็นช่วงเวลาที่ในโทรทัศน์ทำเรื่อง LGBTQ+ ให้เป็นสิ่งประหลาดและตลกขบขัน แน่นอนว่าในสมัยนั้นอินเตอร์เน็ตไม่ได้แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน ถึงแม้ผมจะกังขาในเพศวิถีของตัวเองแต่ก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยครับ ดังนั้น ในช่วงนั้นผมจึงรู้สึกว่าตัวเองผิด ตัวเองแปลกประหลาด… 




ขอโทษนะ เพราะงั้นในตอนนั้น ผมเลยคิดว่าตัวเองผิด ตัวเองแปลกประหลาดครับ ไม่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครและเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ในตอนนั้น ผมเข้าวงการบันเทิงตอนอายุ 14 ปี งานยุ่งทุกวัน พอรู้ตัวอีกที ความทุกข์ใจและความสงสัยในตัวเองก็ผสมปนเปไปในทุกวันที่ยุ่งกับงานครับ มีคนช่วยสนับสนุนผมมากมายจริงๆ มาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตรงไหนสักแห่งของผมก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองโดดเดี่ยวอยู่ครับ


ในระหว่างที่ผมใช้ชีวิตแบบนั้นก็คิดว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปจะมีผลกับสภาพจิตใจด้วย ช่วงหนึ่งจึงเริ่มคิดที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศครับ เรื่องตอนที่ผมเพิ่งไปต่างประเทศคือมีวันหนึ่ง ผมเห็นผู้ชายด้วยกันจูบกันในเมืองทำให้ผมตกใจมากครับ และพวกคนรอบข้างก็ไม่มีใครสนใจการกระทำของพวกเขาเลย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวและรู้สึกโล่งใจตรงไหนสักแห่งครับ ทั้งยังเริ่มมีความหวังขึ้นมาว่ามีเส้นทางที่มีความสุขได้แม้แต่คนที่เป็น LGBTQ+ ครับ


การจะยอมรับเพศวิถีของตัวเองได้อย่างสนิทใจนั้นต้องใช้เวลาจากตรงนั้นอีกค่อนข้างมาก แต่ผมเองก็ได้รู้สึกขึ้นมาว่ามนุษย์ทุกคนเองไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ หรือไม่ต่างก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองมีความสุขได้ ดังนั้น จากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมตัดสินใจว่าผมเองก็จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็นและหันมาเผชิญหน้ากับตัวเองครับ พวกผมที่เป็น LGBTQ+ เองก็เป็นมนุษย์เช่นกันครับ พวกเราไม่อยากถูกปฏิบัติแตกต่างจากคนอื่นครับ


ขนาดตัวผมเองยังต้องใช้เวลาในการยอมรับเรื่องนี้ ดังนั้นทุกคนเองก็น่าจะต้องใช้เวลาเช่นเดียวกันครับ ผมคิดว่าในญี่ปุ่นยังไม่ค่อยเปิดกว้างให้พูดคุยกันเรื่อง LGBTQ+ สักเท่าไหร่ จึงทราบดีครับว่ายิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ ตัวผมเองเพิ่งจะคัมมิ่งเอาท์วันนี้ จากนี้ไปจึงยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ LGBTQ+ อีกมากมายครับ




มีชาว LGBTQ+ ทั่วโลกที่กำลังกอดเก็บความทุกข์จากหลากหลายสิ่งที่ตีกรอบเอาไว้ครับ ผู้ที่ถูกกดขี่ ถูกรังแก เจ็บปวดกับความกดดันจากสังคมจนได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจก็มีอยู่ไม่น้อย จากข้อมูลในบทความหนึ่งที่ผมได้อ่าน ผมได้เห็นสถิติว่าในบรรดาผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ 48% นั้นคิดฆ่าตัวตาย และ 12% จากในจำนวนนั้นก็ลงมือทำจนสำเร็จครับ จำเป็นด้วยหรือครับที่ต้องจบชีวิตลงเพียงเพราะเพศที่เป็นเป้าหมายของตัวเองนั้นเป็นเพศเดียวกันหรือตัวเองเหมาะกับเพศใด ผมอยากให้มีคนได้รับรู้มากขึ้นแม้เพียงสักหนึ่งคนว่ามีคนที่คอยโทษตัวเองเรื่อยมาจนสุดท้ายถูกไล่ต้อนให้จนมุมจนทนไม่ไหวอยู่มากมายขนาดนี้ครับ


วันนี้น่าจะมีผู้ที่ตกใจกับเรื่องที่ผมประกาศออกมานี้ และน่าจะมีผู้ที่ทำใจยอมรับได้ยาก ผมเข้าใจครับว่าต้องใช้เวลาในการยอมรับ ตอนนี้ผมได้พูดข้อมูลมากมายออกมาในคราวเดียวเพราะคิดว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่สมควรทำครับ ตอนที่ผมคัมมิ่งเอาท์กับแม่ แม่ดีใจมากและยอมรับผมในทันทีครับ แต่ตอนที่คุยเรื่องว่าอยากจะคัมมิ่งเอาท์ต่อสาธารณะ แม่กลับกังวลและคัดค้านเพราะกลัวว่าผมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงครับ


แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่ก็มาช่วยผมคิดเกี่ยวกับประเด็นในเรื่อง LGBTQ+ และเห็นด้วยกับการคัมมิ่งเอาท์ต่อสาธารณะครับ หากไปดูในเว็บไซต์ของผม ผมได้แปะลิงค์เกี่ยวกับ LGBTQ+ เอาไว้หลายลิงค์เคยครับ (เว็บไซต์ของชินจิโร่ มีภาษาอังกฤษ https://shinjiro-official.com/) ผมอยากใช้โอกาสนี้ในการทำให้ผู้คนมากมายได้ทราบว่ามีเหล่าผู้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ในที่ที่ไม่รู้จักอยู่ครับ


มีเหล่า LGBTQ+ มากมายถูกรังแกและถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมด้วยเหตุผลด้านเพศวิถีครับ แต่ผมคิดว่าเรายังมีความหวัง คิดว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปครับ แม้จะเจอกับเรื่องร้ายๆ หรือเรื่องใด หากทุกคนรวมพลังกันก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเรื่องดีได้ครับ หากในสถานที่จัดงานแห่งนี้มีผู้ที่ยังทุกข์ใจในเรื่องเพศวิถีของตนเองอยู่ กรุณาเข้าไปชมในเว็บไซต์ของผมนะครับ คุณไม่ได้โดดเดี่ยวแน่นอน ผมจะคอยสนับสนุนคุณอย่างสุดกำลังเลยครับ ในฐานะของมนุษย์ที่โอบกอดความทุกข์แบบเดียวกันเอาไว้ ผมอยากให้เหล่า LGBTQ+ ทั้งหลายยืดอกใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิครับ


อีกเรื่องที่อยากให้เข้าใจกันก็คือ แม้จะบอกว่าผมเป็นเกย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวผมแบบที่เคยเป็นมาจะเปลี่ยนแปลงไปนะครับ ผมมีความสุขเต็มที่ในแบบที่เป็นตัวเองตอนนี้ครับ จากนี้ไปก็จะใช้ชีวิตในฐานะอาตาเอะ ชินจิโร่ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงครับ



และในระยะหลังมานี้ ผมคิดถึงการกลับมาทำกิจกรรมด้านศิลปินอีกครั้งครับ เมื่อ AAA หยุดทำกิจกรรมไปก็มีช่วงที่ผมทุกข์ใจว่าตัวเองจะทำกิจกรรมในฐานะศิลปินเดี่ยวต่อไปจะมีความหมายอะไร เพราะตัวเองไม่รู้ว่าควรจะส่งสารข้อความในลักษณะใดออกไปในฐานะศิลปินดีน่ะครับ


แต่ไม่ใช่เฉพาะแค่ชาว LGBTQ+ เท่านั้น ผมมีความรู้สึกที่อยากช่วยเหลือผู้คนมากมายที่กำลังทุกข์ใจอยู่ด้วยครับ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองเป็น และมั่นใจในข้อความที่ตัวเองอยากจะส่งแล้วครับ การได้แสดงตัวตนที่แท้จริงให้ได้เห็นไปพร้อมกับทำให้ผู้ฟังมีความสุขนั้นคือเป้าหมายสูงสุดในฐานะศิลปินของผมครับ


และผมมีประกาศอีกเรื่องหนึ่งครับ เนื่องจากผมตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมด้านศิลปินต่อ ในคราวนี้จึงอัดเพลงใหม่เรียบร้อยแล้วครับ


ชื่อเพลงคือ “Into the Light” ครับ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “ไปยังทิศทางที่ลำแสงใหม่สาดส่อง” ผมตั้งใจว่าหากเพลงนี้ส่งไปถึงผู้คนทั่วโลกได้คงจะดีไม่น้อย ผมจึงเขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และคิดที่จะแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยครับ หลังจากนี้ก็จะเปิดให้ทุกคนที่มาที่นี่ได้ฟังก่อนเลยครับ




ทั้งนี้ รายได้ส่วนหนึ่งจากเพลงนี้จะบริจาคให้กับกลุ่มสนับสนุน LGBTQ+ ในญี่ปุ่นครับ หาก “Into the Light” จะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ใช่แต่เพียงของผม แต่ยังรวมถึงผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับผมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็จะดีใจมากครับ


ไม่เพียง LGBTQ+ เท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนได้ฟังโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนด้วยครับ ดนตรีคือสิ่งที่ทั่วโลกมีร่วมกันครับ ใจผมคิดว่าตอนนี้คงมีคนที่มีประสบการณ์ที่ข้ามผ่านความขมขื่นเจ็บปวดและกำลังรู้สึกขัดแย้งในชีวิตอยู่มากมาย หากสิ่งที่ผมพูดเกี่ยวกับสุขภาพจิตนั้นจะช่วยเติมความกล้าให้แก่ผู้คนทั่วโลกได้คงจะดีไม่น้อยครับ


ชีวิตคนเรามีทั้งช่วงเวลาที่ดี และเวลาที่ไม่เป็นไปดั่งใจครับ แต่ถึงอย่างนั้นหากยังมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่ยอมแพ้ ก็จะนำไปสู่ “ทิศทางที่ลำแสงใหม่สาดส่อง” ครับ ที่จริงแล้วตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ชีวิตมีเพียงครั้งเดียว จึงไม่อยากเสียใจภายหลังครับ


ผมหวังว่าโลกจะสว่างสดใสยิ่งขึ้นกว่านี้ และกลายเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจครับ


และผมมีอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่จะประกาศเป็นเรื่องสุดท้ายครับ ที่จริงแล้วตอนนี้ผมกำลังทำ Documentary เกี่ยวกับชีวิตของผมเองที่ฮอลลีวู้ดครับ โปรดิวเซอร์คือ “Peter Farrelly” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันจากผลงานเรื่อง “Green Book” และ “There's Something About Mary” กับ “Fisher Stevens” ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานเรื่อง “Tiger King” ครับทั้งสองท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับรางวัลอคาเดมีมาแล้วครับ โดยพวกเขาและพวกท่านที่ทำงานกันอยู่ในฮอลลีวู้ดต่างก็มีความรู้สึกร่วมในประสบการณ์และสิ่งที่ผมอยากทำในชีวิตต่อจากนี้ไปครับ ผมอยากถือโอกาสนี้ขอบคุณไปพร้อมกับพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ให้ดีที่สุดครับ


วันนี้ขอขอบพระคุณมากจริงๆ ครับ





  ข้อความจากสมาชิก  



พวกเราได้เจอกันเมื่อ 20 ปีก่อน
และเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาด้วยกัน

ชินจิโร่เป็นคนที่รู้คุณค่าของชีวิตยิ่งกว่าฉันเสียอีก
เขาได้ช่วยสอนความลำบากและความวิเศษ
ของการใช้ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียวอย่างมีคุณค่า

ทั้งคิดและเตรียมตัวมากมายมาตลอด
ฉันมองเขาที่ต่อสู้กับความกังวลและความกดดัน
และมุ่งไปข้างหน้าอยู่เสมอ
มีแค่ฉันที่เป็นฝ่ายได้รับกำลังใจมาตลอด

ขอขอบคุณจากใจที่ได้มาพบเจอกับชินจิโร่

จากนี้ไปหัวใจเราก็จะอยู่เคียงข้างกันเสมอนะ

แด่เพื่อนที่รักสุดหัวใจ



ลูกชายมาบอกแต่เช้าว่า "แม่ค้าบ~ สายรุ้งแหละ! มาสิ!"
ถึงฉันจะคิดว่าบังเอิญก็เถอะ
ต่อจากนี้ไป ขอให้อนาคตของพวกเราแต่ละคน
ได้ส่องประกายในแบบของตัวเองด้วยเถอะนะ

ฉันนับถือเธอมากนะ






*เพิ่มเติมข้อความจากชูตะ*



(ไม่มั่นใจหลายส่วน แต่ขอลงไว้ก่อน ถ้ามีอะไรที่เข้าใจผิดจะเข้ามาแก้ทีหลังค่ะ) 


"ไม่ต้องรู้เจตนาที่แท้จริงก็ได้ คิดว่าการเขียนด้วยตัวอักษรก็บอกได้ไม่ 100% อยู่แล้วปกติเลยไม่เขียน แต่ถ้าถ่ายทอดออกไปได้สักนิดก็คงดี"


สนใจเพียงภาพลักษณ์และยอมรับการตัดสินใจของคนอื่นหรือย่างก้าวของคนอื่นเท่าที่จะทำได้ แล้วก็ไม่คิดจะพูดนั่นพูดนี่แล้วหนีหายไปด้วย จะบังคับให้เป็นไปตามอุดมคติที่คิดกันไปเองก็ไม่ใช่ คนคนนั้นก็มีวิถีชีวิตและย่างก้าวเฉพาะตัวของคนผู้นั้น แต่ละคนไม่ได้ผิดอะไร และก็ไม่ได้ถูกต้องอะไรด้วย
แม้กระทั่งความคิดแบบนี้ก็ด้วย
ไม่ใช่เรื่องที่มีค่าพอจะเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองหรือกับคนอื่นเลย
เพียงแต่การเอาชีวิตของคนอื่นมาเป็นท็อปปิกหรือใช้เป็นเครื่องมือในการดึงความสนใจเนี่ยฉันคิดว่าไม่ควรเอามาทำกันเป็นธรรมเนียมและมันสุดจะขยะเลยด้วย "แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของงานก็ตาม" ความคิดนี้จะไม่เปลี่ยนไปชั่วชีวิต ฉันจะคิดแบบนี้ต่อไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ


ภาพลักษณ์อะไรนั่นโดยส่วนตัวแล้วจะยังไงก็ช่าง ให้ความสำคัญกับตัวเองไว้และเผชิญหน้ากับตนเอง มีแค่คนใจกว้างเท่านั้นแหละที่จะเที่ยวใจดีกับคนอื่นแล้วยังเข้มแข็งได้
กระทั่งความรักก็สื่อไม่ถึง คำพูดและการกระทำของคนที่ไม่ใช่คนแบบนั้นยังไงก็ไม่มีทางจับใจ
ถึงแม้ว่าจะพยายามทำให้ดูเหมือนว่าเป็นแบบนั้นสักแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดคือชีวิตของตัวเองนี่นา


พอมีจำนวนตัวอักษรแล้วถึงจะเขียนไปชั่วชีวิตก็เขียนไม่พอ นี่เป็นสิ่งที่ส่วนตัวแล้วมักจะคิดอยู่เสมอ แต่ยังไงเมื่อวานก็เป็นวันที่โคตรจะดีเลย
ถึงใช้เวลาชั่วชีวิตก็ใช้ได้แค่กับคนที่ชอบเท่านั้น 
นั่นคือคำตอบ และคิดว่าดีแล้วเพราะเราเป็นมนุษย์นี่แหละ
การได้ใช้ชีวิตแบบที่ชอบไม่ไหลไปตามกระแสและซื่อตรงในสิ่งที่เป็นนี่แหละดีที่สุด
ยังไงก็มีพวกพ้องอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะให้ความสำคัญหรือไม่
จะเลือกหรือจะปล่อยก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น


เพียงสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง
อยากให้โลกใบนี้เป็นโลกอันแสนอ่อนโยนที่ไม่เริ่มจากการปฏิเสธ พยายามจะเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันได้จัง

Post a Comment

0 Comments