Norwegian Wood กับความสัมพันธ์ที่แสนซับซ้อน

 

*สำหรับคนที่ดูอยากดูหนังแต่ไม่อยากโดนสปอยโปรดระวัง เพราะเนื้อหาในที่นี้อาจจะมีสปอยออกไปบ้างโดยที่ไม่ตั้งใจ และเราเองไม่ใช่นักวิจารณ์ ทั้งหมดที่เขียนมาจากความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*

norwegian-wood_p1

 

          ในที่สุดเราก็มีโอกาสได้ดู Norwegian Wood เสียที หลังจากได้ยินข่าวว่ามีเข้าฉายที่ไทยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฉายที่ไหนบ้าง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เราไปไหว้พระเก้าวัดแก้บนเรื่องคุณหนูลาเต้หาย พอไหว้เสร็จก็เลยถือโอกาสไปดูหนังเสียเลย โดยเราไปกับเพื่อนที่โรงหนัง House Rama ที่ RCA ค่ะ

          ขอเกริ่นเรื่องบรรยากาศในโรงหนังสืกเล็กน้อย คือเดินเข้าไปแล้วเราชอบมาก เพราะโรงหนังที่นี่จะออกอาร์ตๆ มีทั้งงานนอกกระแส งานศิลปะ และอื่นๆที่โรงหนังทั่วไปไม่มี คล้ายๆเป็นแกลลอรี่ สำหรับแล้วมันให้ความรู้สึกสบายๆ น่ามาชิวนั่งอ่านหนังสือและจิบกาแฟเป็นที่สุด ราคาตั๋วหนังก็ไม่แพงเลย แค่ 100 บาทเท่านั้นเอง

 

         สำหรับเรื่องนี้ ในตอนแรกเราได้อ่านตัวหนังสือของมุราคามิมาก่อนแล้ว (ฉบับแปลไทย) และรู้สึกว่าจบแบบปาหมอนไปหน่อยสำหรับเรา แต่พอได้มาดูหนังแล้ว อยากบอกว่าความรู้สึกตรงนั้นมันเปลี่ยนไป เพราะเรารู้สึกว่า เหมือนเราได้ฟัง “คำพูด” จริงๆที่มุราคามิต้องการจะสื่อในตัวหนังสือภาษาของเขาผ่านปากตัวละครแต่ละคนได้ดีกว่าการอ่านภาษาไทยมากๆ

          ส่วนตัวแล้ว เราว่าภาษาไทยแปลไม่ดี ด้วยความที่แปลจากภาษาอังกฤษ ซึ่งเท่ากับเป็รการแปลสองต่อ และในฉบับแปลไทย สำนวนของคนแปลเป็นอะไรที่เราปวดตับมาก เพราะเขาใส่ความเป็นตัวเขาลงไปเต็มที่ ต่างจากความรู้สึกที่เราได้รับจากหนัง จากภาษาจริงๆที่ใช้ในเรื่อง… มันเรียบง่าย ภาษาสวยแต่มีความลุ่มลึก ต่างจากภาษาไทยที่พยายามใส่ให้มันแปลกๆดูวิจิตรพิศดารจนคนอ่านต้องตีความอีกรอบนึง และเมื่อเปรียบเทียบกับฉบับภาษาอังกฤษที่ขึ้นซับมาคู่กัน ภาษาอังกฤษที่ใช้ก็เรียบง่ายและสวยงามไม่ต่างจากภาษาแม่เท่าไหร่ ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ เราขอให้สกิลภาษาญี่ปุ่นของเรากับการอ่านซับอังกฤษมากกว่าการดูภาษาไทยที่ขึ้นมาคู่กัน ยอมรับว่าอารมณ์เสียมากกับภาษาไทยและซับไตเติลค่ะ

          ตัวของวาตานาเบะและนาโอโกะนั้น เรื่องระหว่างทั้งสองอาจจะเหมือนความรัก แต่จริงๆและเป็นแบบนั้นหรือเปล่า? หนังเรื่องนี้”ไม่ใช่” หนังรักโรแมนติกแน่ๆสำหรับเรา มันเป็นหนังที่หนักและลึกพอสมควร เราว่าผู้กำกับสามารถถ่ายทอดสิ่งที่มุราคามิต้องการออกมาได้ดีภายในเวลาที่จำกัด ถ้าคนที่ดูแต่หนังอาจจะรู้สึกว่าหลายๆเรื่องไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าได้อ่านหนังสือมาก่อนแล้ว เราจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างวาตานาเบะ นาโอโกะ คิซึกิ มิโดริ และเรโกะมากยิ่งขึ้นกว่านี้ ตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตและมีแนวทางของตัวเองในการดำเนินชีวิต แต่ละคนได้ผ่านทางเลือกในหลายๆทางที่จะเติบโตขึ้นในแบบของตัวเอง

          สำหรับเรา ไม่มีใครผิด และไม่มีใครถูก ความตายที่เป็นทางออกของคิซึกิและนาโอโกะก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับเรา ประโยคที่ว่า 「死んだ人はずっと死んだままだけど、私たちはこれからも生きていかなくちゃいけないから」 (คนที่ตายไปแล้วก็ยังคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่พวกเราก็ยังจะต้องมีชีวิตอยู่จะเป็นแบบนั้นไม่ได้) เป็นอะไรที่จี๊ด เมื่อเราเลือกความตาย หมายความว่าเราต้องการที่จะหยุดทุกอย่างเอาไว้ แต่ในเมื่อตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็จะต้องพยายามที่จะอยู่ต่อไปอย่างดีที่สุด การใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อเราผ่านมันไปได้ เมื่อนั้นตัวเราเองก็จะเติบโตขึ้น เหมือนกับวาตานาเบะที่ผู้เป็นที่รักทั้งสองเลือกความตายมากกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไป

0619_1486

          อีกจุดหนึ่งในเรื่องนี้คือ จะพูดถึงเรื่องเซ็กส์และมีฉากอย่างว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราว่าไม่ใช่ฉากที่ลามกอะไรเลย เหมือนสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดของทั้งคู่ ตัววาตานาเบะเองนั้นรักนาโอโกะ แต่ตัวนาโอโกะนั้นรักคิซึกิ เซ็กส์ที่ไม่ใช่ความรักของทั้งคู่ แต่ตัวนาโอโกะเองก็ต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวให้หัวใจที่อ่อนแอของตัวเองเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างวาตานาเบะกับมิโดริ ตรงจุดนี้เหมือนจะเป็นความรัก แต่ถ้ามองในอีกแง่มันก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้อีกเช่นกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ก้ำกึ่งและซับซ้อนยากที่จะอธิบาย

          ประโยคสุดท้ายของวาตานาเบะที่ว่า “นั่นสิ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน” ประโยคนี้นั้นเป็นอะไรที่ตอนแรกอ่านหนังสือแล้วรู้สึกว่าปาหมอน แต่พอมาเป็นหนัง เรากลับรู้สึกว่าประโยคนี้ถามตัวเราเองเช่นกันว่า ตอนนี้เราเองอยู่ที่ไหนกันแน่ ใจของเรา ความคิดของเรา และชีวิตของเราอยู่ที่ไหน เราได้เลือกเส้นทางของตัวเองแบบไหน ประโยคจบที่ว่า 「きつぎは17歳のまま、なおこは21歳のまま、永遠に...」 (คิซึกิอายุ 17 ตลอดไป นาโอโกะอายุ 21 ตลอดไป ชั่วนิรันดร์…) ทำให้เรารู้สึกว่า เรื่องมันสมบูรณ์ในตัวของมันเองมาก ทั้งสองคนเลือกที่จะหยุดชีวิตของตัวเองเอาไว้ แต่วาตานาเบะกลับพยายามข้ามผ่านมันมาได้และเติบโตขึ้น

          นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างวาตานาเบะกับมิโดริ เรโกะกับนาโอโกะ และวานาเบะกับเรโกะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ ในหนังความสัมพันธ์ระหว่างวาตานาเบะกับมิโดริเป็นเรื่องที่เห็นอย่างเด่นชัด แต่ในพาร์ทของเรโกะกลับเห็นน้อยมากเหมือนเป็นตัวประกอบเสียมากกว่า ทั้งที่จริงๆแล้วในใจของเรโกะก็บิดเบี้ยวไม่แพ้ของนาโอโกะเลย แต่ทั้งสองคนกลับเลือกวิธีการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่จะก้าวต่อไป ซึ่งเราคิดว่าเป็นจุดสำคัญของเรื่องเช่นกัน

         หลังจากที่ดูจบ เรารู้สึกเหมือนมีอะไรมากวนๆอยู่ข้างในใจ มันไม่ได้อึนเพราะอารมณ์ในตอนนั้นของเราไม่ได้อยู่ในอารมณ์เศร้าเหมือนกับตอนอ่านหนังสือ+ซับมันทำให้เราขัดใจและเสียอารมณ์กับหนังไปพอสมควร แต่มันก็มีเอฟเฟกต์มากพอที่จะทำให้เราอยากเขียนถึงหนังเรื่องนี้และตัดสินใจอย่างเงียบๆแล้วว่า เราจะต้องหาหนังสือของมุราคามิฉบับภาษาญี่ปุ่นทุกเล่มมาอ่านให้จงได้… ไม่ใช่แค่เพราะอยากอ่านในภาษาแม่ที่เขาเป็นคนเขียน แต่เราอยากจะเสพความเรียบง่ายแท้ๆของมุราคามิให้มากกว่านี้ มีหลายๆอย่างที่หายไประหว่างการแปลข้ามภาษา เหมือนกับที่เรารู้ว่า การอ่านหนังสือ ถ้าจะได้อรรถรสดีที่สุดต้องอ่านจากภาษาต้นฉบับเท่านั้น

 

          ขอจบการเขียนรีวิว(?)เห่ยๆแต่เพียงเท่านี้ค่ะ การวิเคราะห์ของเราอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เราอาจจะยังตีความได้ไม่แตก อันนี้ก็ยอมรับ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นมันยังติดอยู่ในใจของเราเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นภาษาได้ เหมือนกับว่ามันคลุมเครือ ซับซ้อน และเราด้อยความสามารถในการใช้ภาษาสื่อมันออกมา สิ่งที่บอกได้คือ อยากให้ “ลองสัมผัส” กับเรื่องนี้ดูสักครั้ง ทั้งแบบหนังและแบบนิยายเลยค่ะ แล้วเราจะรู้ว่า ในสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น บางทีมันก็ช่างก้ำกึ่งและซับซ้อนจนเราเองก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้เช่นกัน

Movie Website (Japanese) : http://www.norway-mori.com/

Post a Comment

0 Comments