ความน่าสนใจของเนื้อเพลงญี่ปุ่น


         ไม่ได้อัพบล็อกแบบเขียนเรื่องตัวเองมานานแสนนาน วันนี้ได้ฤกษ์มานั่งพร่ำพรรณาแล้วค่ะ ในหัวมีเรื่องที่อยากเขียนเยอะเลย แต่บางอย่างก็เขียนลงทวิตเตอร์ไปแล้วบ้าง บางอย่างก็เรียบเรียงมาเขียนเป็นบล็อกไม่ได้บ้าง คิดไปคิดมาสุดท้ายตัดสินใจว่าเขียนเถอะ อาจจะยาวสักหน่อยนะคะ


         หลังจากเรียนหลักสูตรปริญญาโทมาหนึ่งปีครึ่ง ตอนนี้เรียนวิชาบังคับของหลักสูตรครบหมดแล้วค่ะ T T หลังจากนี้เหลือวิทยานิพนธ์อีก 12 หน่วยกิตที่ต้องฝ่าฟันเป็นด่านต่อไป จริงๆแล้วหลักสูตรที่เราเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะทำวิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์นะ ซึ่งนี่ก็เป็นบ้า เลือกทำวิทยานิพนธ์แบบไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนอกจาก “อยากทำ” (เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวก็คงไม่ผิดเท่าไหร่) คือไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป เกิดเราอยากต่อเอกขึ้นมา หรือจะไปสอบบรรจุอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้วเรียกวิทยานิพนธ์ขึ้นมา ไหนๆคะแนนถึงเกณฑ์ ทำไหวก็อยากลองกันสักตั้งไปก่อนละ

         ตอนคาบแรกที่เข้าเรียน อาจารย์ย้ำเลยว่า “เริ่มคิดหัวข้อสารนิพนธ์กันได้แล้วนะคะ” ตอนแรกสุดเราก็คิดไม่ออกค่ะ รู้แค่ว่าอยากทำเกี่ยวกับ Pop Culture เท่านั้นเอง ทีนี้พอเรียนไปเรียนมาแล้วงานปลายภาคของเทอมแรกเป็นรายงานเชิงวิชาการ ให้เอาเนื้อหางานวิจัยที่เรียนในห้องมาวิเคราะห์ต่อยอดแล้วเขียนงานส่งค่ะ

         ช่วงที่กำลังนึกๆว่าจะเขียนอะไรดี ช่วงนั้นจำได้ว่ากำลังเดินๆอยู่จะไปขึ้นรถไปทำงาน หูก็ฟังเพลงไป บรรยากาศฝนพรำ ก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า เออ เพลงญี่ปุ่นนี่ก็พูดถึงลมฟ้าอากาศและฤดูกาลเยอะนะ น่าหยิบเอามาเขียนงาน ปกติเราก็แปลเพลงอยู่แล้วด้วยน่าจะหาข้อมูลไม่ยากมาก แต่สรุปงานแล้วนั้นใช้เวลาหาข้อมูลและเขียนอยู่นานมากค่ะ 555 ถึงหลายๆเพลงจะแปลเอาไว้แล้วก็จริงแต่การหยิบเอามาเขียนนี่ก็ไม่ได้ง่ายนะ เพราะต้องโยงเหตุผล ความสัมพันธ์ที่จะทำให้อาจารย์ยอมรับให้ได้ด้วย

         หลังจากส่งงานนั้นไปแล้วตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรมาก ปรากฏว่าอาจารย์ให้เราส่งเมลงานตัวนี้ไปให้อีกครั้ง ส่งต่อให้อาจารย์ญี่ปุ่น (ที่ตอนนี้กลายมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเราเรียบร้อยแล้ว) และถามว่าเราสนใจอยากไปนำเสนอในงานวิชาการไหม… ความรู้สึกแรกคือ ช็อคค่ะ ช็อคคคคคคคคค มันแบบว่า เฮ้ย งานที่เขียนไปมันโอเคขนาดนั้นเลยหรือไง คืออ้างอิงอะไรเป็นวิชาการก็แทบไม่มี ส่วนใหญ่เป็นบทวิเคราะห์ส่วนตัวทั้งนั้น แต่ก็ได้ไอเดียขึ้นมาด้วยว่า เราอยู่กับเรื่องนี้ได้ อยากเอาเรื่องเนื้อเพลงมาต่อยอดเป็นวิทยานิพนธ์นะ แต่ยังไม่รู้จะทำไปในด้านไหนดี

         หลังจากนั้นก็ปลุกปล้ำกับงานนี้ใหม่หมดอีกรอบค่ะ แก้เยอะมาก รบกวนเซนเซเยอะมากด้วย กราบขออภัยอย่างสูง T T นั่งคิดบทหัวระเบิดเพราะต้องพรีเซนต์และตอบคำถามทั้งหมดเป็น “ภาษาญี่ปุ่น” ต้องพยายามเสิร์ชหางานวิจัยเกี่ยวกับเนื้อเพลงทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษอ่าน แต่ผลออกมาคือมันโอเคมากสำหรับเราในตอนนั้น คือไม่คิดไม่ฝันว่างานติ่งๆง่อยๆของเราจะมีคนบอกว่ามันน่าสนใจมาก่อน T T หลังจบงานแล้วเลยมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าถ้าจะทำเป็นวิทยานิพนธ์ เราต้องแก้ปัญหาอะไรบ้าง


        พอกำหนดในใจได้แล้วว่าอยากทำเกี่ยวกับเนื้อเพลงญี่ปุ่น คุยกับอาจารย์แล้วว่าเรื่องนี้หยิบมาทำเป็นวิทยานิพนธ์ได้ เราก็เริ่มมานั่งคิดสโคปงานพร้อมกับนั่งคิดหาเหตุผลด้วยว่าทำไมเนื้อเพลงญี่ปุ่นถึง “น่าสนใจ” หลังจากคิดไปคิดมาหลายตลบ เราก็ให้คำตอบกับตัวเองแบบนี้ค่ะ


1. เนื้อหาของเพลงมีความหลากหลาย
         เนื้อหาเพลงเท่าที่ฟังมาไม่ได้มีแต่เพลงรัก แต่มีเพลงในธีมที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ฤดูกาล เทศกาล ให้กำลังใจ และอื่นๆอีกมากมาย พอได้ฟังก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย เนื้อหาเพลงมันมีความหลากหลาย แล้วเพลงแบบนี้มันช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้นะ อย่างเวลาที่กำลังเฟลกับหลายๆเรื่อง พอได้ฟังเพลงที่มีเนื้อหาประมาณว่า ไม่เป็นไร อย่างไรก็ยังมีวันพรุ่งนี้ มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้จริงๆ

         อย่างเช่นเนื้อเพลง Kibou no Hikari ~Kiseki wo Shinjite~ ของ dream

今私は 迷いの中で
がむしゃらに光探してる
最後まであきらめないと
希望だけ握りしめてる
ตัวฉันในตอนนี้ กำลังตามหาแสงสว่าง
ท่ามกลางความสับสนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ยึดถือเอาไว้เพียงความหวัง
ว่าจะไม่ยอมแพ้จนกระทั่งตอนสุดท้าย

          โดยส่วนตัวแล้วเราชอบเพลงที่มีเนื้อหานอกเหนือไปจากเรื่องความรักด้วย ยิ่งเพลงที่เกี่ยวกับความหวัง กำลังใจของญี่ปุ่นนี่ยิ่งชอบเป็นพิเศษ


2. ลักษณะเด่นของภาษาที่ใช้มีความน่าสนใจ
          แรกๆที่หัดแปลเพลงนี่ปวดหัวกับภาษามาก แต่พอแปลไปสักพักแล้วรู้สึกตัวขึ้นมาว่าชอบลักษณะของภาษาที่ใช้ในเพลงขึ้นมาซะอย่างนั้น (แน่นอน หลายๆคำไม่ใช่ภาษาที่เจอในชีวิตประจำวันปกติ) เวลาฟังเพลงหลังๆมาก็จะฟินไปกับลักษณะของคำที่เอามาเรียงต่อกัน การจัดวาง การเลือกคำ (เอ่อ รู้สึกเนิร์ดมากค่ะ) และด้วยลักษณะของภาษาญี่ปุ่นที่ละคำช่วย ละประธานแบบกระจุยกระจาย ชอบทิ้งอะไรไว้ให้คิดเอง เล่นคำพ้องเสียง บางทีเพลงร้องอย่างนึง เนื้อเพลงเขียนด้วยคันจิที่สื่อความหมายไปอีกแบบนึงก็มี เลยรู้สึกว่าจุดนี้มันมีความน่าสนใจทางด้านภาษาที่น่าจะเอามาวิจัยได้


3. เนื้อหามีความเกี่ยวพันกับสังคมและทัศนคติของคนในสังคม ณ เวลานั้น
         เพลงหลายๆเพลงเขียนขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของสังคมในเวลานั้นๆ อย่างเช่นเวลามีภัยพิบัติ เพลงก็จะมีเนื้อหาแนวๆว่าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ หรือเพลงเพื่อแคมเปญการกุศลออกมาเยอะ บางเพลงก็เขียนขึ้นเพื่อเสียดสีสังคมในขณะนั้น และสะท้อนลักษณะของผู้คน ทัศนคติที่ยึดถือกันในเวลานั้นออกมาได้ด้วย เราเลยมองว่าเนื้อเพลงก็เป็นสิ่งที่เก็บประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ได้อีกอย่างนึง


4. เรามองเนื้อเพลงในฐานะ “งานวรรณกรรม” ประเภทหนึ่ง
          การเขียนเพลงต้องมีการเลือกคำให้ลงกับทำนอง ซึ่งเราว่ามันเป็นเรื่องของวรรณศิลป์ที่จะทำให้ไพเราะและมีความหมายที่ลึกซึ้งได้ไม่ต่างจากบทกลอนหรือกวีนิพนธ์ ซึ่งจุดนี้ทำให้เรามองเนื้อเพลงเป็นงานวรรณกรรมอีกแขนงนึง


         ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้มันเพียงพอสำหรับเราที่จะดำดิ่งลึกลงไปกับเนื้อเพลงในฐานะงานวิจัยนะ ยอมรับเลยว่ายากมากกกกกกก แต่เรารู้สึกว่ามันท้าทาย เราอยากรู้ อยากทำ และสำคัญที่สุดคืออยู่กับมันได้ อย่างน้อยเราสามารถอ่านงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ อ่านทฤษฏีภาษาศาสตร์ (ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะสนุก) ได้อย่างลัลล้าฮาเฮ และฟังเพลงแบบสนุกไปกับการคิดความหมายตามไปด้วยค่ะ พอเป็นเรื่องที่เราสนใจแล้ว เชื่อไหมว่าตัวเองจะพุ่งเข้าหามันได้แบบอัตโนมัติแบบที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทุ่มได้ขนาดนี้เลยเหมือนกัน

         อีกอย่างนึง อาจารย์ที่ปรึกษาเรากับอาจารย์ในภาคก็บอกว่างานน่าสนใจ แค่นี้ก็มีกำลังใจทำงานสุดๆแล้วค่ะ T T รู้สึกมันมีแรงฮึดอะ แบบตอนแรกเราไม่มั่นใจเลยนะว่าเลือกเรื่องนี้แล้วเค้าจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นวิจัยขนาดเป็นวิทยานิพนธ์ได้หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ไง

         หลังจากนี้อีก 12 หน่วยต้องขอฝากตัวฝากใจกับเซนเซแล้วล่ะค่ะ T T ช่วยหนูล่วยยยยย หนูจะพยายามค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนเพราะได้ทุนไปเก็บข้อมูลที่ญี่ปุ่นปีนึง (ซึ่งขอกราบอาจารย์ทุกท่านรอบทิศที่ให้โอกาสเราทำตามฝัน ไปติ่งที่ญี่ปุ่น เอ้ย เก็บข้อมูลที่โน่นปีนึง เพราะเรื่องนี้หาข้อมูลงานวิจัยในไทยยาก) เริ่มแล้วก็จะทำให้สุดนะคะ ยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดค่ะ


          แล้วก็… เรื่องทุนไปญี่ปุ่นนี่ไว้เล่าให้ฟังคราวหน้านะ รอรวบๆข้อมูลแล้วเขียนทีเดียวเลยดีกว่า ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างยังไม่ลงตัว 555

         จบแล้วค่ะ ใครทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้ได้ กราบบบบบ เลยค่ะ รู้สึกพร่ำเพ้ออะไรออกไปก็ไม่รู้ ;w; เหมือนจะมีสาระแต่ก็ไม่มี (เอ๊ะ) ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ


         ปล. ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆแบบนี้นานแล้ว รู้สึกสกิลการเขียนตกลงเยอะ ฮาาาาา




Post a Comment

0 Comments