[TRANS] Chiaki Ito Last Interview @Chiaki Ito Memorial Photo Book




     สวัสดีค่ะ ห่างหายไปพักใหญ่กับการแปลบทสัมภาษณ์ต่างๆ วันนี้กลับมาอีกครั้งกับบทสัมภาษณ์สุดท้ายของ อิโต จิอากิ อดีตสมาชิก AAA (พิมพ์ไปก็สะอึกเหมือนกันนะ..) ที่ตั้งใจจะแปลนานแล้ว แต่ตัวเองมีอะไรหลายๆอย่างเลยแปลๆหยุดๆ ดองไว้จนถึงวันนี้ค่ะ


     สำหรับบทสัมภาษณ์รอบนี้จะมาจากท้ายเล่ม Chiaki Ito Memorial Photo Book เล่มสุดท้ายของจิอากิในฐานะ AAA ที่วางขายพิเศษสำหรับแฟนคลับ AAA PARTY ในช็อปของแฟนคลับเท่านั้น แถมยังเป็นแบบสั่งจองลิมิเต็ดด้วย ซึ่งข้างในเล่มจะรวบรวมภาพต่างๆของจิอากิตลอด 12 ปีไว้ ทั้งชุดที่ใช้ในคอนเสิร์ต ลิสต์เครื่องสำอางค์ต่างๆที่จิอากิโปรดิวซ์ อันดับเพลงหรือชุดที่ชอบ รวมถึงบทสัมภาษณ์นี้ด้วยค่ะ

     เช่นเคย บทแปลบทนี้เราอาจไม่ได้แปลเป๊ะมาก เน้นแปลตามความเข้าใจให้สละสลวยและอ่านง่ายเป็นสำคัญค่ะ (จะว่าไป หลังๆนี่รู้สึกสไตล์การเขียนตัวเองเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ไม่รู้คนอื่นจะเข้าใจที่เราเขียนด้วยหรือเปล่า ฮา) ถ้ามีผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ



Chiaki Interview
 
AAA 伊藤千晃としてのラストインタビュー
สัมภาษณ์สุดท้ายในฐานะ Ito Chiaki แห่ง AAA

*ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*
 


จะให้เต้นร่วมกับสมาชิกไม่ได้จนกว่าจะสมบูรณ์แบบ
 
-- เหตุการณ์ที่จำได้ว่าเป็นความทรงจำแรกสุดในฐานะ AAA คือเหตุการณ์ใด?
  ฉันเป็นคนเดียวที่เข้ามาช้าที่สุดค่ะ ก่อนเดบิวต์ ฉันได้เข้าร่วมในรายการเฟ้นหาดาราหน้าใหม่ที่ชื่อ “Uta Star!!” แล้วคุณ m.c.A.T ก็เข้ามาบอกฉันว่า “ผมมีวงที่กำลังทำเพลงให้อยู่ คิดว่าน่าจะเหมาะกับจิอากิจังนะ” แล้วจากนั้นก็พาไปอีเวนต์ที่เหมือนกับเป็นการเปิดตัวคนใหม่ภายในบริษัทค่ะ ซึ่งวงที่เล่นในตอนนั้นคือ AAA นั่นเอง ฉันรู้สึกว่าวงผสมชายหญิงที่เป็นแบบ Dance & Vocal เนี่ยมันแปลกใหม่นะ
 
-- ความรู้สึกตอนที่ได้พบหน้าสมาชิกครั้งแรกเป็นอย่างไร
  จำได้ว่านิชชี่บอกว่า “เรียกผมว่านิชชี่นะ” ค่ะ (หัวเราะ) ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้หญิง อุโนะจังก็บอกว่า “ผู้หญิงเรามีน้อย จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ” ความประทับใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือทุกคนใจดีแล้วแต่ละคนก็เข้ามาชวนคุยค่ะ กับชินจิโร่นี่จากสตูดิโอที่ซ้อมก็กลับบ้านทางเดียวกัน เพราะฉันเองยังไม่คุ้นเคยกับรถไฟในโตเกียว ก็เลยให้ชินจิโร่สอนให้แล้วกลับด้วยกันค่ะ
 
-- เห็นว่าการซ้อมก่อนเดบิวต์ก็หนักด้วย
  หนักมากเลยล่ะค่ะ ครูเข้มงวดมาก บอกฉันว่า “จะให้เต้นร่วมกับสมาชิกไม่ได้จนกว่าจะสมบูรณ์แบบ” ช่วงนึงเลยต้องฝึกอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษมากๆอยู่คนเดียวทุกวัน แต่ว่า ตอนอายุ 18 นั้นมีพลังงานเหลือเฟือมาก แล้วฉันก็ตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานในวงการนี้แล้วเลยออกมาจากนาโงย่า ถึงจะมีอะไรร้ายๆแต่ก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ค่ะ
 
-- เมื่อลองย้อนกลับไปดูรูปในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
  การได้ดูรูปสมัยเดบิวต์เนี่ยทำให้ฉันเขินค่ะ (หัวเราะ) ในไลฟ์มีทั้งการแสดงกายกรรม เล่นละคร ถือพัดเต้น ตีกลองแล้วก็ได้ลองท้าทายกับโพลแดนซ์… เรียกได้ว่าได้ทำอะไรมามากมายจริงๆค่ะ ในช่วงแรกนั้นเราทำกิจกรรมตามที่สตาฟฟ์กำหนดทิศทางให้ ฉันเลยไม่ได้ใส่ชุดสีแดงแต่เป็นสีชมพูน่ารักอยู่บ่อยๆ ด้านเสื้อผ้าก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์แล้วก็ซับซ้อนค่ะ ตัวฉันเองเนี่ยจะพิถีพิถันมากประมาณว่า จะไม่ชอบถ้าทำผมหรือทำเล็บสักอย่างไม่เข้ากับชุด คือในตอนนั้นก็ทำเพราะคิดว่าอันนี้ดีที่สุด แต่พอมาดูตอนนี้แล้วก็คิดอยู่หลายครั้งเลยว่าทำไมถึงใส่แบบนั้นลงไปได้นะ (หัวเราะ)
 
 


ดีใจจริงๆค่ะที่ได้รับหน้าที่ตีกลองใน “DRAGON FIRE” (หัวเราะ)
 
-- AAA ในตอนครบรอบ 1 ปีก็จัดฟรีไลฟ์ที่ Nippon Budokan ได้อย่างรวดเร็ว เป็นประสบการณ์แบบใด?
  การได้จัดใน Nippon Budokan ในปีแรกนี่คือเราได้รับความรักอย่างมากมายเลยล่ะค่ะ แต่ว่าในตอนนั้นยังรู้สึกว่ามันหนักหน่วงมาก แน่นอนว่ามีความรู้สึกขอบคุณอย่างมาก แล้วก็ดีใจ แต่ในตอนนี้พอมาคิดอีกรอบก็รู้สึกว่า การได้แสดงที่ Nippon Budokan ในปีแรกของการเดบิวต์เนี่ยมันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะทำได้นะ a-nation ก็เช่นกัน ฉันว่าคุณค่าของการได้แสดงต่อหน้าคน 5 หมื่นคนเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนในตอนนี้แล้วค่ะ อาจเพราะตอนยังเป็นเด็กใหม่ก็ยังคิดอะไรตื้นๆ แล้วก็เป็นวัยที่ทำตัวแก่แดด เลยคิดว่าการเป็นศิลปินแล้วได้ยืนบนเวทีใหญ่ๆเนี่ยคือเรื่องธรรมดา ขนาดตอนให้สัมภาษณ์ก็ชอบพูดแบบมั่นๆไปว่า “อยากให้โลกได้รู้จักชื่อของเรา” อะไรแบบนั้น (หัวเราะ) แถมยังคิดว่าความจริงจะเป็นแบบนั้นในอีกหลายปีให้หลังด้วยค่ะ แต่ความคิดนั้นก็ถูกทำลายลงตั้งแต่ประมาณปีที่ 3 เป็นต้นมาค่ะ
 
-- เหตุผลคือ?
  อย่างแรกคือสภาพแวดล้อมรอบข้างเปลี่ยนแปลงไป AAA เนี่ยได้รับการโปรโมตอย่างมาก อย่างจู่ๆก็มีรถบรรทุกติดป้ายโปรโมต หรือได้ขึ้นป้ายในชิบุย่า ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะพลังของบริษัทที่ใส่เข้ามาช่วยให้ขายออก เมื่อสถานการณ์เหล่านี้ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆเลยทำให้พวกเราเข้าใจผิดว่าขายได้เพราะกำลังความสามารถของตัวเองน่ะค่ะ แล้วตอนประมาณปีที่ 3 ถึงได้เริ่มรู้ตัวว่ามันไม่ใช่กำลังความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง ความจริงในเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับยอดขายและการเพิ่มจำนวนคนมาชมก็ทิ่มแทงเข้ามา ในเวลานั้นเลยกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรดีเพื่อให้เป็นศิลปินที่ยังคงขายได้หลังจากนี้ น่าจะเป็นช่วงที่เจ็บปวดอย่างมากที่สุดในฐานะของวงค่ะ
 
-- จากนั้นเลยสามัคคีกัน?
  ก่อนจะเป็นแบบนั้นก็ใช้เวลาค่ะ ในตอนนั้นรู้สึกว่าทุกคนจะยังคงให้เรื่องของตัวเองสำคัญกว่าทีม แบบมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่า “อยากให้ตัวเองมีชื่อเสียงมากขึ้น” ไม่ใช่ “อยากจะดังยิ่งขึ้นไปในฐานะของ AAA” ตัวฉันเองก็คิดแต่ว่าอยากให้มองว่าตัวฉันน่ารัก อยากเป็นที่สะดุดตา ดังนั้น พอได้ยินเสียงเชียร์ที่เรียกชื่อของสมาชิกคนอื่นในไลฟ์ ฉันจะอิจฉาค่ะ เพราะอย่างนั้น ตอนที่ได้รับหน้าที่ตีกลองในเพลง “DRAGON FIRE” เลยดีใจสุดๆ (หัวเราะ) ตอนถ่าย MV ก็ลืมไม่ลง คือจู่ๆสตาฟฟ์ก็เรียกฉันแล้วบอกว่า “จิอากิ ไหนลองตีกลองสิ” คือจนถึงตอนนั้น ฉันได้เต้นอยู่แถวหลังสุดมาตลอด ไม่มีท่อนร้องด้วย เป็นช่วงเวลาที่คิดว่า “ฉันอยู่ในนี้มันมีความหมายด้วยหรือ?” พอได้รับหน้าที่ตีกลองก็เลยรู้สึกว่า “ได้เด่นเป็นครั้งแรก!” ค่ะ ความต้องการที่จะออกมาอยู่ข้างหน้าก็รุนแรงประมาณนั้นค่ะ
 
 

อยากจะเป็นตัวเองเพื่อแฟนๆ ไม่ใช่อยากเป็นตัวเองเพื่อตัวเอง
 
-- คิดว่าจุดพลิกผันของ AAA คือตอนไหน?
  น่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังเพลง “Charge & Go” ในปี 2011 ค่ะ ในช่วงปี 2010 รู้สึกจะเป็นช่วงที่ตัววงกำลังหลงทาง จากจุดนั้นเลยทำให้ต้องตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างด้วยแนวทางของพวกเราเองน่ะค่ะ เราออกความเห็นกับสตาฟฟ์ได้ง่ายขึ้น ประมาณว่า ถ้าบอกว่า “ฉันอยากทำแบบนี้” สตาฟฟ์ก็จะบอกว่า “งั้นลองดูไหมล่ะ?” เพียงแต่ลำบากพอสมควรในการรวมความเห็น เพราะทั้ง 7 คนต่างก็มีความเห็นของตัวเองค่ะ ดังนั้น แต่ละคนเลยสับสนว่า “หลังจากนี้ AAA จะเป็นอย่างไรต่อไป” ซึ่งก็ตัดขาดจากจุดนั้นได้ในปี 2011 ค่ะ
 
-- นั่นเป็นจุดพลิกผันของตัวเองด้วยหรือเปล่า?
  ใช่แล้วค่ะ ปี 2010 นี่ก็เป็นช่วงที่ฉันเองก็ควานหาสไตล์ของตัวเอง ถ้าดูจากภาพก็น่าจะเข้าใจ คือพยายามที่จะเป็นตัวเองในหลายๆแบบน่ะค่ะ ฉันคิดเยอะเลยว่าจะทำให้คนอื่นได้เห็นตัวฉันว่าลักษณะเด่นของตัวฉันคืออะไร อยากจะเป็นคนแบบไหน เลยทำให้เลือกธีม “ตุ๊กตา” ในปี 2011 จากนั้นก็แต่งหน้าแต่งตัวให้สอดคล้องกับความน่ารักในแบบตุ๊กตาค่ะ แล้วคนที่ให้กำลังใจฉันผ่านทาง fan letter ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิด แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นคนที่อยากจะพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้เพื่อแฟนๆอย่างเต็มที่ให้มากขึ้น ซึ่งนั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตัวเองเลยค่ะ
 
-- มีสาเหตุอะไรหรือเปล่า?
  เรื่องใหญ่เลยคือเรื่องที่ฉันต้องหยุดไปเพราะได้รับบาดเจ็บตอนทัวร์คอนเสิร์ต “Buzz Communication” ในปี 2011 ค่ะ คือมีความรู้สึกขอโทษแล้วก็รู้สึกแย่มากตอนที่คิดว่าถึงไม่มีตัวเอง คอนเสิร์ตก็ยังประสบความสำเร็จได้ด้วยสมาชิก 6 คน แต่ว่า ในเสี้ยววินาทีที่ม่านเปิดออกในวันที่กลับมา แล้วได้เห็นม่านที่ห้อยไว้ทางที่นั่งคนดูเขียนว่า “ยินดีต้อนรับกลับมานะจิอากิ” ฉันถึงได้รู้สึกว่ายังมีคนที่เสียใจยิ่งกว่าฉันอยู่ และความรู้สึกของฉันที่มีให้กับความรักเหล่านั้นมันไม่พอค่ะ ฉันอยากเป็นตัวเองเพื่อแฟนๆ ไม่ใช่เป็นตัวเองเพื่อตัวเอง จึงควรรักษาสุขภาพเพื่อให้แฟนๆทุกคนได้ชมการแสดงที่ดี และอยากมอบสิ่งที่จะหลงเหลืออยู่ในใจของแฟนทุกคนเอาไว้มากกว่าทำเพื่อความพอใจของตัวเองค่ะ
 
-- จากการเปลี่ยนแปลงนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบล็อก “Bojyo Diary” ด้วยสินะ
  น่าจะเป็นเพราะฉันฟังความเห็นของคนรอบข้างอย่างตั้งใจมากขึ้นจากตอนนั้นด้วยมั้งคะ ก่อนหน้านี้ฉันทำแค่ตามความต้องการของตัวเอง แต่เมื่อสไตล์ลิสต์กับช่างแต่งหน้าบอกว่า “ไม่ใช่แบบนี้ แฟนๆชอบจิอากิที่เป็นแบบนี้เรอะ?” ฉันก็เลยยอมรับได้มากขึ้น ทุกคนมักจะบอกว่าชอบรอยยิ้มกว้างๆ แม้ในที่สุดฉันจะรู้ด้วยตัวเองแล้วก็ตาม แต่ก็เมื่อสามสี่ปีก่อนนั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) เพราะฉันมักจะทำหน้าเรียบเฉยมาตลอดก็เลยผิดคาดอยู่ ยิ่งได้แสดงตัวตนที่เป็นธรรมชาติผ่านบล็อกเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเป็นตัวเองที่เป็นธรรมชาติขึ้นได้โดยไม่ต้องเกร็งแม้แต่ใน AAA ก็ตาม
 
-- ตั้งแต่ปี 2013 ก็เริ่มเปิดพวกกิจการเครื่องสำอางค์ด้วย เรื่องราวเป็นอย่างไร?
   ฉันชอบพวกเรื่องความสวยความงาม สุขภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าอยากจะดึงดูดด้วยความรู้เหล่านั้นที่ตนเองถนัด ก่อนอื่นเลยไปสอบผู้เชี่ยวชาญด้านผัก (野菜ソムリエ) เพื่อให้คนรอบข้างยอมรับค่ะ จากตอนนั้นก็ได้พบกับคนที่เข้ามาทักว่าคิดแบบเดียวกันกับไลฟ์สไตล์หรือสไตล์การทำงานของฉัน ซึ่งนำไปสู่งานโปรดิวซ์ค่ะ เป็นงานที่แตกต่างจากดนตรี แต่การที่ได้เรียนรู้ถึงความสนุกของการสร้างสิ่งของขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากที่ตรงนี้เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ แล้วก็ไอเดียที่ฉันเสนอไปด้วยความรู้สึกของตัวเองได้ออกมาเป็นรูปร่างตามนั้น ยิ่งความรับผิดชอบมากเท่าไหร่ ในเวลาที่ทำออกมาได้ดีก็จะดีใจมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
 
-- นอกจากนี้ก็ยังจัดแฟนคลับอีเวนต์มากมายในช่วง 12 ปีนี้ด้วย
  สนุกทุกอย่างเลยค่ะ มีความทรงจำมากมายเหลือเกินจริงๆ… คือแฟนคลับก่อตั้งขึ้นมาในปีเดียวกับที่เดบิวต์ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วมันคือเรื่องที่สุดยอดเลยนะคะ เพราะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับความรักมาตั้งแต่เดบิวต์จริงๆ คือประมาณว่าเหมือนได้เค้กสวยๆมาตั้งแต่แรกเลย!? แล้วจากตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ AAA เปลี่ยนแปลงแบบสตรอเบอร์รี่หายไป ครีมก็หายไป เหลืออยู่แค่สปองจ์เค้กอย่างเดียว เราต้องทาครีมลงบนสปองจ์เค้ก ค่อยๆประดับสตรอว์เบอร์รี่ทีละลูกขึ้นมาด้วยตัวของพวกเราเอง แล้วก็คิดว่าเราค่อยๆทำเค้กที่แสนวิเศษขึ้นไปได้สูงกว่าในตอนแรกแล้วหรือยังนะ
 
 

การแสดงที่โตเกียวโดมในรอบสุดท้ายคือไลฟ์ที่ดีที่สุดในประวัติการณ์ของตัวเอง
 
-- จากขนาดของไลฟ์ที่เพิ่มมากขึ้นไปพร้อมกับการเติบโตของวง มีช่วงเวลาที่รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าวงได้รับความนิยมอย่างเต็มที่แล้วหรือเปล่า?
  การที่ฉันรู้สึกว่ามีผู้ชมเข้ามาแล้วจริงๆนะจริงๆแล้วคือตอนครบรอบ 10 ปีที่ได้ยินว่ามีคนไม่ได้บัตรอารีน่าทัวร์ครบรอบ 10 ปีกับ Nippon Budokan แล้วก็ทัวร์ปีที่ 11 เข้ามาติดๆกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียงเหล่านั้นเข้ามาถึงแม้แต่ในด้านที่เป็นส่วนตัวเลยล่ะค่ะ แม่มารายงานว่า “คนรอบตัวบอกมาว่าไม่ได้บัตรนะ” เลยทำให้รู้สึกขึ้นมาอย่างแท้จริงจากตรงนั้น เพราะ AAA แสดงไลฟ์เป็นงานหลัก นั่นเลยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าได้รับความนิยมอย่างจริงจังได้ยากก็ได้ เพราะมีภาพว่าศิลปินที่ได้รับความนิยมเนี่ยจะต้องออกโทรทัศน์ค่ะ แต่พอดีว่าในยุคที่เปลี่ยนจากโทรทัศน์มาเป็น SNS เนี่ยทำให้ได้รู้ว่ามีคนที่ปลื้ม AAA อยู่มากมาย ฉันว่า AAA เป็นศิลปินที่ได้รับการสนับสนุนก็เพราะอยู่ในยุคนี้นั่นแหละค่ะ (หัวเราะ)
 
-- รู้สึกอย่างไรตอนที่ได้แสดงจริงในโตเกียวโดมที่เคยฝันมานาน?
  มีแค่ความรู้สึกดีใจว่าได้แสดงไลฟ์ในโดมแล้วค่ะ ขนลุกตั้งแต่ตอนโอเพนนิ่งแล้ว เพราะเสียงร้องที่ออกมารอบทิศทางนั้นแตกต่างออกไปจากเดิม เสียงกรี๊ดดังก้องอย่างเป็นธรรมชาติทำให้รู้สึกดีและตกใจขึ้นมาว่า อา นี่คือเสียงเชียร์ของโดมนะ สำหรับฉันแล้วสามารถยืดอกพูดได้ว่ามันคือไลฟ์ที่ดีที่สุดในบรรดาไลฟ์ของตัวเองที่เคยเล่นมาเลยค่ะ เพราะเป็นไลฟ์ที่ความพอดีทุกอย่างทั้งทรงผมหรือเพอร์ฟอร์แมนซ์มันลงตัวที่สุด เลยรู้สึกว่าเป็นไลฟ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนถึงตอนนี้ สภาพร่างกายก็สมบูรณ์ จิตใจก็พร้อม เพราะนึกภาพได้จนถึงรายละเอียดเล็กน้อยเลยว่าจะแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดีที่สุดอย่างไร ด้วยวิธีการใดบนเวทีโดม เลยมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้าค่ะ ฉันรู้สึกได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทั้ง 7 คนอย่างมาก เลยสามารถแสดงไลฟ์คุณภาพสูงที่ดีที่สุดของตัวเองได้ เป็นไลฟ์แสนพิเศษที่ไม่มีทางลืมได้ชั่วชีวิตเลยจริงๆ
 
 



ข้ามผ่านเรื่องราวมากมายและเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางใหม่
 
-- ถ้าให้เลือกเพลงด้วยตัวเอง คิดว่าเพลงของ AAA ที่เหมาะสมและสะท้อนถึงสิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้ที่สุดคือเพลงใด?
  นั่นสินะ ยากอยู่นะคะ แต่ถ้าเลือกก็คงเป็นเพลงที่มุ่งไปข้างหน้าค่ะ เพราะคิดว่ามันคือก้าวใหม่ เป็นเพลงประมาณว่าจะข้ามผ่านเรื่องราวมากมาย ตัดสินใจ และก้าวออกไปจากตรงนั้น ถึงจะกังวลแต่ก็มีความคาดหวังอยู่มากมาย (ดูลิสต์เพลงของ AAA แล้วก็คิดไปด้วย) น่าจะ “Charge & Go!” ล่ะค่ะ อย่างท่อนของอุโนะจังที่ร้องว่า “ความฝันที่มีอยู่เลือนหาย แต่พวกเราจะตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง” (te ni ireta yume wa kiete bokura wa mata tsugi wo mezashiteku) คือไม่ได้มีแต่เรื่องง่ายดาย เนื้อเพลงที่พูดถึงการมุ่งไปข้างหน้าน่าจะเหมาะกับฉันในตอนนี้ค่ะ พอย้อนกลับไปดูเพลงแบบนี้แล้ว เมื่อก่อนมีเพลงหนักๆค่อนข้างเยอะเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) คือรู้สึกว่าเก๋ขึ้นทุกปี ช่วงหลังๆนี้ก็มีแต่เพลงรักจริงๆค่ะ
 
 

12 ปีที่ได้ร่วมเดินมากับเพื่อนร่วมงานที่แสนสำคัญ AAA คือสิ่งที่เป็นชีวิตของฉัน
 
-- สำหรับจิอากิซังแล้ว AAA คือ?
  สมาชิกคือเพื่อนร่วมงานที่แสนสำคัญค่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก คือคำนั้นน่าจะเหมาะสมที่สุดนะ AAA คือสิ่งที่เป็นชีวิตของฉัน  มีแค่เวลา 12 ปีใน AAA เท่านั้นจริงๆที่ฉันยกให้แม้กระทั่งเวลาส่วนตัว ได้เจอกับคนมากมาย ได้รับประสบการณ์มากมายทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ รู้สึกขอบคุณจริงๆค่ะที่ได้ใช้เวลานั้นอยู่ใน AAA
 
-- สุดท้ายนี้ ช่วยบอกถึงความฝันหลังจากนี้หน่อย
  ถึงจะจบการศึกษาจาก AAA ไปแล้ว จากนี้ไปก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ในฐานะของอิโต จิอากิต่อไปค่ะ ตอนที่อยู่ AAA นั้นคือ “ฉันที่ได้เห็นในไลฟ์” “ฉันที่ได้เห็นจากผลงาน” แต่ตั้งแต่ตัดสินใจแล้วว่าจะทำแบบส่วนตัว ฉันก็อยากจะส่งมอบสิ่งที่สามารถเห็นได้ในตัวเอง ในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่งในวัย 30 ในฐานะของแม่ ให้ได้เห็นแม้กระทั่งสภาพเบื้องหลังของกระบวนการผลิตจากการใช้บล็อกหรือ SNS คิดว่าถ้าฉันจะสามารถให้ความกล้าหรือความสดใสกับทุกคนได้ก็คงดีค่ะ เกี่ยวกับเรื่องการทำสินค้า ฉันอยากจะทำของที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเป็นมาด้วยมุมของของวัย 30 แล้วจากนี้ไปก็อยากลองท้าทายกับอีกหลายๆเรื่องด้วยค่ะ


Post a Comment

0 Comments