[TRANS]【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 03 Urata Naoya


     สวัสดีค่ะ คราวนี้กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับโปรเจ็กต์แปลบทสัมภาษณ์เดี่ยวของสมาชิก AAA จากนิตยสาร AAA Pia รอบนี้ถึงคิวของหัวหน้าวงอย่างลุงนาโอยะค่ะ ส่วนตัวรู้สึกว่าลุงค่อนข้างพูดเข้าใจง่าย เลยใช้เวลาแปลไม่นานมากเท่าไหร่

     สำหรับภาพประกอบมาจากเว็บ http://realsound.jp ค่ะ ในส่วนของการแปลก็เช่นเคย เราไม่ได้แปลเป๊ะมาก เน้นแปลตามความเข้าใจของตัวเองและพยายามปรับให้ภาษาอ่านง่ายและลื่นไหลมากที่สุดค่ะ ถ้ามีข้อผิดพลาดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ


10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้
 
AAA ทั้ง 7 คนได้ผ่านปีที่ 10 และมุ่งสู่เวทีต่อไปและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น ซึ่งในจุดเปลี่ยนนี้เราจะมองย้อนถึงงานในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง “10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้” จะเป็นการเล่าแบบเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของแต่ละคน ทั้งการพบกันกับดนตรี ออดิชั่น การฝึกซ้อมอันหนักหน่วง เดบิวต์ และจุดเปลี่ยนมากมายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลังจากนั้นกับการมองไปยังอนาคต รวมถึงความทุกข์ทรมานหรือความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปหนึ่งเดียว ซึ่งอยากให้ได้ฟังกันถึงความรู้สึกของสมาชิก AAA ที่สามารถเล่าให้ฟังได้ในเวลานี้


【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 03
Urata Naoya



競い合いながらお互いを応援している
(ในระหว่างที่แข่งขันกันต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกัน)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**


---ก่อนอื่น อุราตะซังช่วยนึกย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการมุ่งสู่ถนนสายดนตรีหน่อยได้ไหม
   ผมได้รับอิทธิพลจากพี่สาวสองคนมาตั้งแต่เด็ก จึงชอบการร้องเพลงต่อหน้าผู้คนไปโดยธรรมชาติครับ เพราะผมได้ทุกแนวมากกว่าจะเจาะจงเพลงที่ชอบลงไปเป็นพิเศษ ร้องเพลงของ Dreams Come True ที่พี่สาวชอบ ขนาดเพลงเองกะนี่ยังร้องมาแล้วเลยครับ (หัวเราะ)

---จุดเปลี่ยนใหญ่จากตรงนั้นคืออะไร?
   ช่วงมัธยมต้นครับ ผมเริ่มหลงใหล Tetsuya Komuro แล้วก็จากนั้นก็เป็นศิลปินที่มีเพลงแนวเต้นอย่าง TRF ที่เป็นรุ่นพี่ใน avex, Namie Amuro, DA PUMP  ต่อมาเป็นลำดับ ในชั้นเรียนก็ออกท่าทางขนาดว่าอยากเข้า Komuro Family เลยครับ หนึ่งในนั้นที่ปลุกเร้าเป็นพิเศษคือ DA PUMP ที่ทำให้รู้สึกว่า “ได้ทำในสิ่งที่ตัวผมเองอยากทำมาก่อนแล้ว” เพราะเป็นช่วงที่มีทั้งวงอย่าง Backstreet Boys, NSYNC, Boyz II Men ออกมาด้วย ผมเลยคิดว่าได้เกิดมาในยุคที่ดีจริงๆ ถ้าคลาดจากช่วงเวลานั้นไปสักนิด ผมอาจไม่ได้มีชีวิตที่เดินมาในเส้นทางนี้ก็ได้

---หมายความว่าอุราตะซังที่เริ่มเรียนเต้นจากตรงนั้นก็ตั้งใจจะร้องและเต้นควบคู่กันไปจนกระทั่งได้เข้า AAA เลยสินะ
   ครับ ตัวเองก็อยากได้อาวุธเลยเริ่มเรียนเต้น เรื่องเพลงนั้นไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาก็จริง แต่เรื่องเต้นนั้น รู้สึกว่าได้พัฒนาจนสเต็ปที่เต้นไม่ได้ก็เต้นได้ขึ้นมาครับ ในระหว่างที่ออดิชั่นก็คิดว่าได้เติบโตในฐานะแดนเซอร์ไปด้วย เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่จดจ่ออยู่กับแค่การเต้น แต่ตอนอายุ 19 ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่พอ และคิดขึ้นมาข้างในตัวเองว่า “ว่าแล้วว่าเรื่องเพลงเป็นที่หนึ่ง” น่ะครับ

---ย้อนนึกถึงเรื่องตอนที่ได้รับคำสั่งว่าจะตั้ง AAA ขึ้นมาหน่อยได้ไหม
   ตัวผมตอนออดิชั่นก็อายุ 20 แล้ว ก็เตรียมใจไว้ประมาณว่า “นี่คือโอกาสสุดท้าย” พอผ่านและเข้าฝึกจริงก็คิดว่าไม่เกี่ยวกับอายุ และไม่อยากจะยอมแพ้พวกคนอื่นๆครับ ข้างในตัวผมคิดแต่เรื่องการตั้งวงผู้ชาย ตอนที่บอกว่าจะตั้งวงผสมชายหญิงนี่ผมเลยตกใจมากจริงๆ แต่ก็ตอบกลับไปทันทีเลยครับว่า “ทำครับ!”

---ถ้ามองจากอุราตะซังแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในตอนนั้นเป็นอย่างไร?
   ตอนที่ทำกิจกรรมส่วนตัว ก็คิดง่ายๆว่าแค่ชนะคู่แข่งที่ออกมาก็พอแล้วครับ แต่ว่า เพราะต้องตั้งวงกับสมาชิกที่คิดว่าเป็นคู่แข่งในตอนแรก เลยไม่อยากให้ใครมาว่าตัวเองเป็นคนคอยขัดขา  แล้วก็อยากให้สมาชิกคนอื่นสกิลอัพด้วย เป็นความสัมพันธ์ซับซ้อนที่เรียกได้ว่า ในระหว่างที่แข่งขันกันก็คอยสนับสนุนซึ่งกันและกันครับ (หัวเราะ)

---จากตอนนั้นก็มีความขัดแย้งในฐานะหัวหน้าวงด้วยสินะ
   เพราะตอนนี้ทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของอายุ แต่ในตอนที่ตั้งวงนั้น ตัวผมเองอายุ 20 แต่สมาชิกคนอื่นยังแค่ 16 หรือ 14 อยู่ครับ ก็เลยรู้สึกมากๆว่าต้องคอยดูแลเหมือนเป็นน้องชายหรือน้องสาว ทั้งพาไปกินข้าว รับฟังความทุกข์ ผมรู้สึกสบายใจในจุดยืนตรงนั้นครับ แบบว่าเป็นตัวเองที่ดูดีและมีคนอื่นเข้ามาปรึกษามันดีกว่าการลังเลที่จะเข้าปรึกษากับใครสักคน แล้วตัวเองก็ทำให้(อีกฝ่าย)ร่าเริงได้ด้วยการบอกไปประมาณว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้นหรอกน่า” (หัวเราะ) เพราะอย่างนั้นตอนนี้เลยคิดว่าได้พยายามมาโดยไม่แตกหักครับ

---จะว่าไป ตอนที่ถูกมอบหมายให้รับตำแหน่งหัวหน้าวงล่ะ?
   เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะสบายๆครับ (หัวเราะ) ตอนที่สมาชิกถูกเรียกมารวมกัน คนของทาง avex บอกว่า “คิดว่าน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าคนที่อายุมากที่สุดเป็นหัวหน้าวงนะ”

---เพราะอุราตะซังไม่ใช่หัวหน้าวงแบบที่ดูสูงส่งกว่าคนอื่น แต่มีภาพลักษณ์ “น้องคนเล็กที่เป็นพี่ชายคนโต” มากกว่า
   นั่นน่ะ มีคนพูดบ่อยมากครับ (หัวเราะ) เพราะผมชอบสื่อสารกับคนอื่น เรียกได้ว่าแบ่งแยกบทบาทของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติในความหมายที่ดีน่ะครับ ต่อหน้าคนที่อายุมากกว่าก็อ้อนเต็มที่ ต่อหน้าคนที่อายุน้อยกว่าก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งหมดไม่ใช่การแสดง แต่ทำออกไปได้อย่างเป็นธรรมชาติน่ะครับ

---ปัจจุบันไม่รู้สึกถึงความต่างเรื่องอายุกับสมาชิกเท่าไหร่ ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
   ตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกอายุวิ่งแซงแทนไปแล้วล่ะครับ (หัวเราะ) ประมาณว่า ถูกคิดว่า “คนคนนี้เป็นเด็กตลอดเลยหรืออย่างไรกัน” ล่ะมั้งครับ (หัวเราะ) พอเข้ามาในวงการบันเทิงตอนอายุ 20 แบบตัวผม เหมือนจะมีความรู้สึกแตกต่างกับสมาชิกคนอื่นๆที่อยู่มาโดยถูกล้อมรอบไปด้วยคนอายุ 10 กว่าๆไปจนถึงผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิงครับ ผมเองก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากผู้ใหญ่แบบครึ่งๆกลางไปเป็นผู้ใหญ่ที่หนักแน่น ถ้ามองจากสมาชิกคนอื่นๆที่ยังเป็นเด็กไม่รู้อะไรผมก็คงเป็นผู้ใหญ่แบบสุดๆเนอะครับ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามองจากสมาชิกผู้หญิง 2 อาจคิดว่าผมเป็นเด็กก็ได้ (หัวเราะ)


---นึกถึงเพอร์ฟอร์แมนซ์ในช่วงแรกที่เริ่มทำกิจกรรมอย่างไรบ้าง
   เพราะไม่มีกฏเกณฑ์ในการทำกิจกรรมของพวกเรา ถึงจะได้ไปออกรายการโทรทัศน์ หรือกระทั่งในไลฟ์เองก็จะทุ่มพลังลงไปอย่างเต็มที่แบบที่ว่า “ถ้าทำถึงขั้นนั้นจะล้มลงเลยนะ” ครับ ถึงยังเด็กกว่าตอนนี้มากก็ยังเหนื่อยไม่ใช่เล่น เหมือนรถที่ออกจากที่ฝึกซ้อมแล้วจู่ๆก็วิ่งขึ้นทางด่วนเลย ช่วงประมาณครึ่งปีหลังจากเดบิวต์มา เพราะผ่านช่วงเวลาที่ทุ่มกำลังลงไปแบบนั้น เลยไม่มีเวลาว่างที่จะกังวลและเวลาที่ย้อนกลับไปคิดถึงสภาพการณ์ปัจจุบันอย่างรอบคอบเลยครับ

---ช่วงเวลาที่เริ่มเย็นลงสักหน่อยแล้วคือเวลาช่วงใด
   ช่วงตั้งแต่เดบิวต์มาได้ประมาณ 1 ปีครับ ผมย้อนกลับมาถามตัวเองว่า “จากนี้ไปจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆหรือไง…” (หัวเราะ) ช่วงปีที่ 2 แม้จะยุ่งแต่ก็ค่อนข้างจะมีช่องว่าง ในช่วงเวลาที่เป็นแบบนั้นก็มีคำถามลอยขึ้นมาว่า “เป็นแบบนี้ต่อไปจะไหวหรือ?” แล้วก็ตระหนักได้ว่า “ทำแบบนี้แล้วมันน่ากังวลไม่ใช่หรือ” ครับ

---ความกังวลแบบนั้น สัมพันธ์กับการเติบโตในฐานะวงด้วยหรือเปล่า
   นั่นสินะครับ ปีแรกก็จัดการกับงานอย่างสุดกำลัง ในห้องแต่งตัวก็ประมาณว่าพูดเล่นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ การพูดคุยกับสมาชิกก็เรียกได้ว่าเหมือนกับตอนสมัยฝึกซ้อม ความรู้สึกเป็นเพื่อนยังไม่หลุดออกมาครับ แต่ว่า ตั้งแต่ปีที่ 2 สมาชิกแต่ละคนก็เริ่มคิดว่า “ทั้ง 7 คนนี้จะต้องทำอย่างไรจึงจะไปได้ดีโดยตลอดกัน” ผมเองคิดว่าตัวเองในฐานะหัวหน้าวงที่เป็นพี่ใหญ่จะต้องคอยฉุดรั้งวง แต่การจะทำตัวเข้มงวด คนอื่นก็จะรู้สึกแตกต่างขึ้นมา บางอย่างต้องที่ต้องตัดสินใจผมก็ตัดสินใจ แต่ตามปกติที่เป็นมาจนถึงตอนนี้คือเป็นคนที่คอยนำสมาชิกในเวลาที่เล่นตลก แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนจุดยืนเป็นการคุยปรึกษากับสตาฟฟ์ในฐานะพี่ใหญ่ไปครับ เรียกว่าเป็นคนกลางก็คงได้ (หัวเราะ)

---แล้วใน 10 ปีนี้ ส่วนตัวแล้วคิดว่าส่วนใดของตัวเองที่เติบโตขึ้นมากที่สุด?
   เปลี่ยนแปลงในส่วนของ “วิธีการให้คะแนน” ที่มีต่อตนเองครับ จนถึงตอนนี้ ในเวลาที่สภาพคอแย่ลงหรือร้องเนื้อผิด ผมจะเสียใจและให้เพอร์ฟอร์แมนซ์ 0 คะแนน ซึ่งส่งผลกระทบในแง่ลบกับไลฟ์ครั้งต่อไปด้วยน่ะครับ แต่ว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านครบรอบ 10 ปีมาแล้ว ก็มีเวลาที่ลืมเนื้อแล้วทำให้ผู้ชมดีใจอยู่ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เพราะอย่างนั้นจึงได้คอยระวังสิ่งสำคัญที่มียิ่งกว่ามานั่งเสียใจกับกับความผิดพลาดเพื่อจะได้เชื่อมต่อไปยังแฟนๆที่อยู่ตรงหน้าได้ครับ ถ้าเป็นวันที่เสียงไม่ออกก็แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ยิ่งกว่าปกติเสียดีกว่า ถึงสภาพร่างกายจะไม่ดีแต่ก็บรรลุเป้าหมาย 100 คะแนนได้ครับ

---เปลี่ยนจากตัดคะแนนเป็นเพิ่มคะแนนสินะ
   ใช่แล้วครับ เรื่องเพลงนี่ผมได้รู้สึกขึ้นมาได้ว่าไม่ใช่แค่ว่าการออกเสียงถูกต้องหรือไม่ แต่สำคัญที่ว่าต้องการจะสื่ออะไรครับ

---แล้วในส่วนของวง คิดว่าส่วนใดที่เติบโตขึ้นมากที่สุด
   ในช่วงแรก คนรอบข้างก็ฮือฮาว่าเป็นวงผสมชายหญิง ซึ่งตัวพวกเราเองก็ไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งนั้น แต่ว่า พอยิ่งอายุเพิ่มขึ้น เป็นผู้ใหญ่ เพลงรักก็เพิ่มขึ้นมา ถึงได้รู้สึกว่าเพราะเป็นวงผสมชายหญิงนี่แหละจึงแสดงออกได้ และมั่นใจว่าสิ่งนี้คืออาวุธครับ ไม่ใช่ว่าเพราะดูดีจึงเป็นวงที่น่าหลงใหล แต่เพราะพูดได้ว่าร้องเพลงเนื้อหาดีจึงฟังเพลง ซึ่งนั่นคือส่วนที่(เติบโต)มากที่สุดครับ

---หมายความว่าความแข็งแกร่งเหล่านั้นชัดเจนขึ้นมาได้พร้อมกับการเป็นผู้ใหญ่
   ใช่แล้วครับ แล้วก็สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้ราวๆนี้ จนถึงตอนนั้นคิดว่าแต่ละคนก็อยู่ในระดับที่รู้คาแรคเตอร์ของตัวเอง แล้วก็รู้สึกได้ว่าแต่ละคนก็จะทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ ตั้งแต่ตอนเดบิวต์มาได้ 5 ปี ที่จริงแล้ว เพราะเรา 7 คนมีงานอดิเรกและความชอบที่แตกต่างกัน ทำให้สนุกกับคาแรคเตอร์ที่แต่ละคนได้แสดงออกมาได้มากกว่าน่ะครับ

---และในช่วงเวลาเช่นนั้น เวลาที่รวมเอาหัวใจของสมาชิกไว้ได้มากที่สุดแน่นอนว่าคือไลฟ์ใช่ไหม
   ไม่ผิดเลยครับ จนถึงป่านนี้แล้ว ถึงอาจจะยังเขินอายกับการแสดงความรู้สึกแบบส่วนตัวในวงก็ตาม แต่พอขึ้นเวทีก็ลืมความอาย และพูดสิ่งที่คิดออกมาได้ตรงๆครับ สมาชิกนั้นไม่ใช่ทั้งเพื่อน ไม่ใช่ทั้งครอบครัว ไม่ใช่พ่อแม่และไม่ใช่เจ้านาย เป็นคนที่ให้ความรู้สึกถึงระยะห่างที่ไม่แคยได้ลิ้มรสมาจนถึงตอนนี้ครับ (หัวเราะ) เพราะอย่างนั้น แน่นอนว่าถึงจะพูดกับใครๆว่า “ถ้าอย่างนั้นจะเข้ามา AAA แค่วันนี้วันเดียวก็ได้นะ” ก็คิดว่าคนนั้นคงไม่รู้ว่ามีอะไรน่ะครับ กระทั่งสตาฟฟ์เองก็ไม่รู้ เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ไหลไปแค่ของพวกเรา 7 คน

---ตอนไหนที่จะรู้สึกได้ถึง “ช่วงเวลา” นั้น?
   อย่างเช่น ถ้าเล่นเพลงที่ไม่ได้เล่นในไลฟ์มานาน จะต้องใช้เวลานึกท่าเต้นและตำแหน่งยืน ถ้าไม่มีใครอยู่จะนึกไม่ออก แต่พอมารวมกัน 7 คนแล้ว ในจังหวะที่เพลงขึ้น ร่างกายจะขยับไปโดยอัตโนมัติครับ มันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกมหัศจรรย์ (หัวเราะ)

---เป็นความรู้สึกที่น่าสนใจนะ ขอถามเรื่อง “10 ปีถัดไป” ที่มุ่งไปด้วย มีประเด็นที่กำลังคิดในฐานะของวงอยู่หรือเปล่า?
   ผ่านมา 10 ปีแล้วชื่อวงก็เป็นที่รู้จักแล้ว แต่ในทางกลับกัน ผมคิดว่าผลงานที่ “รู้จักเพลงนี้ แต่ไม่รู้ว่าใครร้อง” ยังมีน้อยอยู่ครับ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ก็มีแต่เพลงและผลงานดีๆ ก็จริง แต่เรียกว่าอยากให้มีเพลงฮิตระดับชาติน่ะครับ

---แล้วในฐานะส่วนตัวเป็นอย่างไร
   10 ปีให้หลังนี่เป็นจำนวนที่ไม่รู้ เหมือนกับโดนบอกว่า “จงอธิบายถึงศตวรรษที่ 25” นะครับ (หัวเราะ) แต่ว่า จะแตกต่างกับ 10 ปีที่ผ่านมา เพราะได้รู้เรื่องราวอีกหลายอย่างในอีก 10 ปี ก็คงจะเป็นไปตามนั้นล่ะครับ

---ยกตัวอย่างเช่น มีเป้าหมายหรือเปล่า
   ผมเป็นคนเกลียดการตั้งเป้าหมายน่ะครับ นั่นคือ ในระหว่างที่ใกล้จะถึงเส้นชัยที่อยู่ตรงหน้า ก็จะเผลอนึกหยุดพักสักรอบ ดังนั้น ก็เลยอยากจะวิ่งแบบได้รู้จักกับคนมากมายไปด้วยในระหว่างที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายแบบชัดเจนครับ

---อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่อยากทำในฐานะส่วนตัวคืออะไร?
   ผมชอบงานประดิษฐ์ แล้วก็สนใจงานออกแบบพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับมาก ก็อยากจะลองทำดูสักวันครับ อยากจะทำแบบง่ายๆมากกว่าตั้งขึ้นมาเป็นแบรนด์ ประมาณว่าปกติก็ไม่ได้สนใจมากน่ะครับ

---เรียกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้สนใจ แล้วเวลาส่วนตัวอย่างวันหยุดมักจะทำอะไรบ่อยๆ?
   ถึงจะทำงานด้านเพลงแต่ก็ยังไปคาราโอเกะครับ (หัวเราะ) คนรอบข้างก็หัวเราะว่า “ร้องเพลงกระทั่งเวลาส่วนตัว ชอบเพลงขนาดนั้นเลยนะ!” คือผมชอบจริงๆครับ กระทั่งในคาราโอเกะผมก็ไม่ยอมปล่อยไมค์เลยล่ะครับ (หัวเราะ)

---เป็นส่วนที่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยเด็กเลยนะ สุดท้ายนี้ จนถึงตอนนี้น่าจะถูกถามมาหลายครั้งแล้ว เมื่อผ่านการฉลองครบรอบ 10 ปีมา สำหรับอุราตะซังแล้ว AAA คืออะไร?
   AAA คือ “สถานที่ของตัวเองที่ไม่มีคำตอบชั่วนิรันดร์” ครับ ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอย่างไรดี แล้วก็คงจะตายไปพร้อมกับที่ยังไม่ชัดเจนล่ะนะครับ (หัวเราะ) แต่ว่า จนถึงตอนนั้นถ้า AAA กลายเป็นแนวเพลงหนึ่งขึ้นมาได้ก็คงน่าสนใจ ถ้าจะพูดให้ชัดๆ AAA สำหรับผมนั้นอาจเป็นตามตัวอักษร ถึงจะพูดว่า “นาโอยะ” แล้วไม่รู้จัก ถ้าพูดถึง “อุราตะ นาโอยะ” ก็เป็นสิ่งเดียวกับในฐานะส่วนตัว และ “อุราตะ นาโอยะ วง AAA” สำหรับผมแล้วก็เหมือนชื่อเต็มครับ



Post a Comment

0 Comments