สวัสดีค่ะ หลังจากติดค้างโปรเจ็กต์นี้ไว้พักใหญ่เพราะงานเข้าหลายอย่างรัวๆมาก ได้เวลากลับมาอัพเดทต่อแล้วค่ะ ไม่ลอยแพของสมาชิกที่เหลือแน่นอน ซึ่งรอบนี้ก็ถึงครึ่งทางแล้วกับสมาชิกคนที่ 4 แร็ปเปอร์ฮิดากะนั่นเอง ส่วนตัวแล้วบทสัมภาษณ์ของฮิเป็นอะไรที่เราปวดหัวที่สุดในบรรดาสมาชิกทุกคนเลยค่ะ ตอนอ่านรอบแรกนี่มึนแบบจับใจความไม่ได้ไปพักใหญ่ เพราะใช้ศัพท์และพูดเรื่องที่ไม่เหมือนกับสมาชิกคนอื่นสักเท่าไหร่ แถมยังใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ (ที่เขียนเป็นคาตาคานะ T______T) เยอะอีกต่างหาก ก็งมศัพท์กันไปสนุกสนานค่ะ 555
สำหรับภาพประกอบมาจากเว็บ http://realsound.jp เจ้าเก่ารายเดิมค่ะ ในส่วนของการแปลก็เช่นเคย เราไม่ได้แปลเป๊ะมาก เน้นแปลตามความเข้าใจของตัวเองและพยายามปรับให้ภาษาอ่านง่ายและลื่นไหลมากที่สุดค่ะ ยอมรับว่าบิดสำนวนไปหลายจุดเลยเพราะเข้าใจค่อนข้างยากจริงๆ ถ้ามีข้อผิดพลาดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10
ปีหลังจากนี้
AAA ทั้ง 7 คนได้ผ่านปีที่ 10
และมุ่งสู่เวทีต่อไปและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น
ซึ่งในจุดเปลี่ยนนี้เราจะมองย้อนถึงงานในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง “10 ปีจนถึงตอนนี้
และอีก 10 ปีหลังจากนี้” จะเป็นการเล่าแบบเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของแต่ละคน
ทั้งการพบกันกับดนตรี ออดิชั่น การฝึกซ้อมอันหนักหน่วง เดบิวต์
และจุดเปลี่ยนมากมายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลังจากนั้นกับการมองไปยังอนาคต
รวมถึงความทุกข์ทรมานหรือความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปหนึ่งเดียว
ซึ่งอยากให้ได้ฟังกันถึงความรู้สึกของสมาชิก AAA
ที่สามารถเล่าให้ฟังได้ในเวลานี้
【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 04
Hidaka Mitsuhiro
Hidaka Mitsuhiro
すごくいい時期にキャリアを積めた
(ได้ทำงานในช่วงเวลาที่ดีมาก)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**
(ได้ทำงานในช่วงเวลาที่ดีมาก)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**
---ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มสนใจดนตรีและตั้งใจจะเป็นศิลปิน
ผมเริ่มสนใจตัวดนตรีตอนม.2 และคิดจะทำเป็นอาชีพก็ตั้งแต่ตอนจบชั้นมัธยมปลายครับ ความตื่นตัวใกล้เคียงกับการหางานเลย
---คิดที่จะทำอาชีพด้านดนตรีมาตั้งแต่ช่วงอายุ 10 ปีเลยหรือ?
ใช่แล้วครับ ตอนเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นเคยคิดว่า “เป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพไม่ได้สินะ” จากตอนนั้นทั้งโลกทัศน์และความอยากรู้อยากเห็นก็ค่อยๆขยายออก และที่สิ่งผมสนใจมากที่สุดในนั้นก็คือดนตรีครับ ผมถูกดึงดูดจากดนตรีหลากหลายแขนงตั้งแต่ม. 2 ผมสนใจทั้งการเต้นและแร็ปด้วย แต่ที่ผมหลงใหลมากที่สุดคือกลอง สมัยมัธยมปลาย ผมก็ทำวง ไปได้สวยมากเลยครับ เราคุยกันว่าตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว “จะยังทำวงต่อหรือเปล่า” แต่ท้ายสุดนักร้องนำก็เข้าชมรมวิจัยระคุโกะ(การเล่าเรื่องตลกสไตล์ญี่ปุ่น)ไปเสียอย่างนั้น (หัวเราะ) ถึงจะไม่มีวงแล้ว แต่ผมก็คิดว่าตัวเองควรทำงานด้านการผลิตดนตรี เพราะตอนผมจบมหาวิทยาลัยจะอายุ 22 ปี ก็เลยคิดว่าอยากมองหาสังคมเอาไว้ก่อน คือสำรวจเกี่ยวกับโลกของดนตรีน่ะครับ แล้วผมก็สนใจคนที่ชื่อ MAX Matsuura (Matsuura Masato CEO ของ avex group) เพราะเป็นคนที่เริ่มจากร้านเช่าแผ่นเสียงเพียงหนึ่งเดียว(ในบรรดาบริษัทเพลงในกระแส)ที่ได้เป็นประธานบริษัทรุ่นแรก ตอนนี้พอลองคิดดูก็ว่า “น่าจะถูกดึงดูดในฐานะผู้สร้างสรรค์” แต่เพราะอย่างไรเสียผมเองก็สนใจมาก จึงอยากไปลองถามกับเจ้าตัวโดยตรง แล้วก็มาเข้ารับการออดิชั่นครับ ตอนนั้นผมคิดไว้ทั้งสองทางเลยล่ะครับ ถ้าเข้าออดิชั่นแล้วอาจต้องออกไปด้านหน้า แล้วก็อาจจะเปลี่ยนมาทำงานด้านดนตรีอะไรบางอย่างจากตรงนั้น
---หมายความว่า ไม่ได้คิดว่าอย่างไรก็อยากทำกิจกรรมในฐานะศิลปินสินะ
ผมคิดว่าจะได้เกี่ยวข้องกับโปรดิวเซอร์ศิลปินที่ชื่อว่า Komuro Tetsuya น่ะครับ เพราะในตอนนั้นมีคนที่คิดว่า “การถูกใครสักคนค้นพบคือเป้าหมาย” อยู่มากมาย แต่ว่า ผมว่านั่นมันแตกต่างออกไปเล็กน้อยครับ ถึงแม้ว่าจะ “ร้องเพลงเก่ง” “รูปร่างหน้าตาดีสุดๆ” หรืออะไรๆก็ดีก็ตาม แต่คนที่มีอะไรบางอย่างพิเศษจะได้พบกับคนของบริษัทแม่แล้วทางนั้นชวนว่า “มาร่วมงานกันด้วยเงื่อนไขแบบนี้เถอะ” นั้นอาจจะถูกต้อง แต่การบอกว่า “อยากเป็นนักร้อง” “อยากเป็นแร็ปเปอร์” นั้นมันไม่แปลกหรือครับ? เพราะผมคิดว่า “แบบนั้นน่ะ พรุ่งนี้ก็เป็นได้ไม่ใช่หรือไง”
---ตอนที่ได้เดบิวต์ในนามของสมาชิก AAA นั้นมีความคาดหวังแบบไหน?
ก็คิดว่าอย่างไรเสียก็เรียนรู้ไปก่อนเถอะ ล่ะมั้งครับ เรียกว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เพราะผมคิดแบบนั้นจริงๆ คือผมอยากเห็นทุกอย่างทั้งกระบวนการผลิตผลงาน จำนวนคนที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงว่าคนเหล่านั้นทำอะไรบ้าง ดังนั้น ตอนที่ได้เดบิวต์ผมเลยไปบริษัทบ่อยมากครับ ได้คุยกับคนมากมายที่เต็มไปด้วยความสามารถที่นั่น… แต่เพราะทุกคนกำลังทำงานอยู่เลยเหมือนไปรบกวนเขา (หัวเราะ)
---(หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าทางสตาฟฟ์เองก็ดีใจหรอกหรือ?
อย่างนั้นล่ะมั้งครับ? เพราะตอนนี้ไอดอลบูมก็เลยมีเด็กหนุ่มสาวมากมายไม่ใช่หรือครับ ตอนที่พวกผมเดบิวต์นั้น คนอายุประมาณ 19 ปี 20 ปีมีน้อยน่ะครับ สำหรับบรรดาคนในบริษัทแล้วผมอายุน้อยมาก ก็อาจจะสนุกก็ได้ล่ะมั้งครับ
---สิ่งที่ได้จากตรงนั้นคือเรื่องแบบไหน?
ความแตกต่างระหว่างจุดยืนของผู้บริโภคกับจุดยืนของผู้ผลิตน่ะครับ เป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่คนที่อยู่ในจุดยืนของผู้บริโภคนั้นก็จะได้เห็นแค่ของที่ออกมาสู่ท้องตลาดเท่านั้นใช่ไหมล่ะครับ หมายความว่าจะฟังได้แค่เพลงที่อยู่ในแพกเกจ แล้วก็ข้อมูลนั้นๆจะไม่มีอยู่ในการใช้ชีวิตเลยจนกว่าจะถึงเวลาที่ปล่อยข้อมูลนั้นออกมา แต่สำหรับเคยที่อยู่ในจุดยืนของผู้ผลิตนั้นกำลังลองผิดลองถูกในหลายๆอย่างในขั้นตอนก่อนหน้านั้น เลยได้เห็นแม้กระทั่งสิ่งที่ถูกคำนวณและคอยให้บริการ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ก็เลยมีสิ่งที่ทำเต็มที่แล้วเผลอปล่อยออกไปสู่ท้องตลาดทั้งที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ สรุปคือ “เบื้องหลังนั้นยังไงเสียก็ต้องมีมนุษย์อยู่” ครับ
---ตัวเองในตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนในฐานะเพอร์ฟอร์เมอร์ผู้มีองค์ความรู้ในระดับสูงถึงขนาดนั้นตั้งแต่ช่วงอายุ 19 ปี 20 ปีนั้น ได้รับบทบาทเช่นไร?
อืม ผมว่าตรงนั้นมันเชื่อมต่อกันหมดเลยนะครับ มันมีเรื่องที่ถ้าไม่ถามตัวเองในตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วย สิ่งที่สอดแทรกเข้ามาในระหว่างนั้นจะมากจะน้อยก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่เรียกว่า “คนที่ส่งสารคือมนุษย์ และคนที่รับก็คือมนุษย์” นั้นเปลี่ยนไป เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ให้ความสำคัญกับไลฟ์มาตลอดครับ ในไลฟ์นั้น สิ่งที่เข้ามาคั่นกลางแทบจะเป็นศูนย์ จึงเรียกได้ว่าเข้าใกล้กับความถูกต้องได้ง่ายที่สุดครับ ถ้าพูดกันตามตรงคือไม่ได้เป็นศูนย์ก็จริง แต่ได้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นศูนย์ หรือไม่ก็รู้สึกมากกว่าศูนย์ แล้วก็ควรจะคิดว่า “คุณคือส่วนหนึ่งของเรา” ประมาณนั้นครับ ตอนที่ส่งมอบของที่เป็นแพ็กเกจ ทั้งวิธีการอย่างหนึ่ง วิธีใช้คำพูดอีกอย่างหนึ่ง ทำให้คนรับเปลี่ยนไปด้วย เพียงแค่วิธีการทำและส่งมอบแรกสุดในช่วง 5 ปีก่อนนั้น มันไม่ใช่วิธีที่ทำมากที่สุดในตอนนี้ใช่ไหมล่ะครับ คือตัวผมเองเกลียดคำว่า “ยุคที่ CD ขายไม่ออก” มากที่สุดเลยล่ะ
---เพียงแค่หลังจาก AAA เดบิวต์ในปี 2005 การที่สภาพการณ์ในปัจจุบันของโลกดนตรีนั้นได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็เป็นความจริงสินะ?
ใช่แล้วครับ ที่ผมคิดว่าโชคดีจริงๆนั้นก็คือไม่ได้เดบิวต์ในยุค CD บูมนี่แหละครับ เพราะไม่รู้จักยุคที่ CD ขายได้อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ถึงแม้ว่าจำนวนแผ่นที่ขายได้จะไม่ได้เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็มีความรู้สึกที่ต่างไปจากบรรดารุ่นพี่ครับ เพราะผมไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยการออก CD ไปตลอดชีวิต กับไลฟ์ก็เป็นความรู้สึกเดียวกันครับ ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะมีความคิดทั่วไปอย่างหนึ่งว่า “ต้องหาเงินด้วยการจัดไลฟ์” แต่เพราะผมไม่ใช่แบบนั้นและคิดแบบง่ายๆว่า “จะต้องทำอย่างไรให้ขั้นตอนตั้งแต่การส่งสารจนถึงรับสารนั้นสั้นลง?” จริงๆแล้วผมรู้สึกว่าได้ทำงานในช่วงเวลาที่ดีมากเลยครับ
หายากครับ (หัวเราะ) พอถูกถามก็ลำบากใจนะครับ ฝั่งคนที่เป็นผู้รับนั้นก็คิดกันไปได้มากมายว่า “ตอนนั้นคือจุดเปลี่ยนล่ะนะ” อย่างเช่น ตอนที่ได้ขึ้นงานขาวแดงครั้งแรก ตอนที่ได้อันดับหนึ่งของ Oricon Chart ครั้งแรกด้วยเพลงของโคะมุโระซัง ในทางกลับกัน การที่ทุกคนสร้างสิ่งที่ทำให้คิดว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ขึ้นมามากมายนั้นก็หมายความว่าฮิตขึ้นมาสินะครับ แล้วก็ ที่คิดกันในช่วงหลายปีมานี้คือการที่ “ดาราที่มีชื่อเสียงนั้นจะได้รับความเข้าใจผิดเข้ามาได้สักขนาดไหนกัน”
---ความเข้าใจผิดนั้นรวมถึงกิจกรรมในฐานะ SKY-HI ด้วยหรือ?
ผมคิดว่าอย่างนั้นครับ เพราะจริงๆแล้วคนมากมายก็จะมีความเข้าใจผิดมากมาย… แต่ว่า ไม่ว่าจะมีความเข้าใจผิดแบบไหนก็ตาม คนที่ได้รับความเข้าใจผิดนั้นก็คือดาราครับ อย่างเช่น ถ้าพูดถึงเรื่องของดนตรี คนรับสารโดยปกติก็จะแตกต่างไป(จากความตั้งใจของศิลปิน) แล้วก็เพราะผมชอบพวกความหมายซ้อน (double meaning) ก็เลยมักจะใส่แบบที่มีสองหรือสามความหมายเข้าไปในเนื้อเพลง เลยทำให้เรื่องที่พูดถึงค่อยๆกว้างขึ้นน่ะครับ เพียงแต่ว่าพวกบทบาทหรือวิธีการนี่ก็เป็นความรู้สึกของตัวเอง แม้คนจะรับสารที่ไม่ใช่ความตั้งใจของทางนี้ไป แต่ก็ห้ามพูดต่อหน้าว่า “ผิดแล้วนะ” ที่ผมคิดแบบนี้ขึ้นมาได้อาจเพราะตัวเองได้พัฒนาขึ้นแล้วก็ได้ครับ
---อย่างนี้นี่เอง
แล้วก็ ก่อนหน้านี้ก็มีระดับที่เรียกว่า “จะไม่โกหก” อยู่ด้วยน่ะครับ คือจะไม่โกหกกับผู้ชม ผู้ฟัง เพราะงานแบบนี้ไม่ใช่คณิตศาสตร์เลยไม่มีคำตอบร่วมกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน ไม่ว่าใครจะมอง ก็ทำได้แค่แสดงออกมาให้ดีเท่านั้นครับ ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็อาจโต้กลับกับคนที่ตั้งธงแอนตี้ (กับ AAA) ไม่ได้ และไม่สามารถใส่ใจกับบรรดาคนที่คอยสนับสนุนได้ครับ
---จับสิ่งที่แท้จริงเอาไว้ได้สินะ จริงๆนะ แล้วสมาชิกคนอื่นๆเองก็มีจุดยืนตรงนี้ร่วมกันด้วยหรือเปล่า?
อ๊ะ ยังไงดีล่ะ? จะเรียกว่าจุดร่วมก็คงจะยากนะครับ… อืม อย่างที่ยามาซากิ มาซาโยชิซังบอกว่า “เพราะสภาพแวดล้อมที่เติบโตมามันไม่เหมือนกัน~” (เลียนแบบยามาซากิ มาซาโยชิจาก “SERORI”) (หัวเราะ) แต่ผมก็คิดแบบนั้นจริงๆนะครับ ยกอย่างเช่นข้อดีของวงร็อค จะเป็นในการแสดงจริงหรือด้านในของจิตใจก็ตาม ก็จะเริ่มจากฟีลอะไรสักอย่างของสมาชิกในวงน่ะครับ AAA นั้นไม่ได้กำหนดไว้ว่าใครจะเป็นผู้นำวง(ไปในด้านใดด้านหนึ่ง) แล้วก็มีที่ทำอะไรตามใจด้วย เพราะไม่ค่อยจะได้ตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นจุดร่วมกันอยู่ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถึงจะไปเปรียบเทียบกับวงอื่นก็คงไม่มีน่ะครับ ซึ่งก็มีทั้งจุดที่แตกต่างแล้วก็อาจจะมีฝ่ายที่แอนตี้ด้วยก็ได้ คงจะเรียกประมาณว่า “กวาดมารวมๆไว้ด้วยกัน”...
---ไม่ไม่ เพราะเป็นสมาชิกที่ถูกเลือกมา
ถ้าพูดให้ดีก็คือเลือกสรร ถ้าพูดให้แย่ก็คือกวาดเอามารวมๆกัน ประมาณนั้นล่ะมั้งครับ พอวงแบบนี้ตั้งมาหลายปีเข้าถึงได้ตระหนักถึงเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองครับ พอพูดแบบนี้ก็คงจะทำให้เข้าใจผิดกัน คือตัวผมเนี่ยไม่ได้มีความประทับใจที่ทำวงอยู่ด้วยการตระหนักรู้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองถึงขนาดนั้นน่ะครับ วงที่ชื่อ “AAA” เนี่ยมีบุคลิกภาพของตัวเอง ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าต้องทำตามความตั้งใจนั้น แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรู้สึกในด้านลบเลยแม้แต่นิดเดียวครับ
---อย่างน้อยที่สุดก็ตระหนักว่า “AAA นั้นไม่ใช่แค่ของพวกตัวเองเท่านั้น” ใช่ไหม มีการรวมเอาบรรดาสมาชิกที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นเอาไว้ แถมยังดำเนินไปได้ด้วยปัจจัยที่มีอิทธิพลหลายๆอย่างใช่ไหม
ถ้าพูดถึงตัวผมเอง ผมก็ว่าตัวเองเป็นประเภทแรงๆนะครับ ถ้าเป็นคนประเภทที่บังคับว่าจงมีข้อความ จงมีจุดยืน เป็นประเภทแบบ AAA อยู่ในวงล่ะก็ ผมว่าคงอยู่มาไม่ได้จนถึง 10 ปีหรอกครับ เด็กๆพออายุประมาณ 5 ขวบก็จะเริ่มตระหนักรู้อะไรๆขึ้นมาได้เองแล้ว ซึ่งในตอนนี้ก็มีความตั้งใจอยู่ในวงนี้ ดังนั้นการทำตามอุดมการณ์นั้นไปน่าจะเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องที่สุดล่ะมั้งครับ
---สำหรับฮิดากะซังเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของ AAA แล้วสินะ
ใช่แล้วครับถ้าจะพูดถึงในด้านของการทำเพลง ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ทำได้ครับ ถึงจะมี AAA หรือไม่มีก็ตามก็ไม่ได้รบกวนกับกิจกรรมในฐานะ SKY-HI ถึงจะบอกว่า AAA ยุ่ง ก็เพราะถ้าไม่ได้แต่งเพลงก็คงไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะว่าทางนักเขียนการ์ตูนที่มีผลงานลงนิตยสารรายสัปดาห์นั้นต้องยุ่งกว่าแน่นอน… อ๊ะ แต่ก็เคยมีอยู่ 2 ครั้งที่คิดว่า “น่าจะมากกว่าทางนั้นแล้วล่ะมั้ง” อยู่ก็ตามที (หัวเราะ)
-
--งานโซโล่ก็ทำร่วมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยใช่ไหม?
ครับ อุดมการณ์ของ AAA นั้นถ้ามันห่างจากตัวผมมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งต่างๆที่ถูกเรียกว่าความบันเทิง ต่างอยู่บนส่วนของรากฐานที่มีร่วมกันคือ “ถ้าคนที่มาชมจะรู้สึกสนุกด้วยก็คงดี” ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะฝืนอุดมการณ์เหล่านั้นไปได้ และในเนื้อหาของ “ความสนุกสนาน” นั้นก็แค่ทำสิ่งที่แตกต่างออกไปเท่านั้นล่ะมั้งครับ อีกอย่างหนึ่งคืออยากจะคิดด้วยว่า ในชั่วพริบตานั้น “อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อะไรคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดกัน?”
---หมายความว่า?
อย่างเช่นว่า ตัวผมเองคิดว่าการเตรียมคิดอังกอร์ไว้ล่วงหน้ามันไม่เป็นธรรมชาติ คอนเสิร์ตของ SKY-HI ก็เลยไม่ทำอังกอร์น่ะครับ เล่นโชว์เป็นแพ็กเกจ 2 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงครึ่ง แล้วก็จบ พอทำแบบนั้นแล้วก็มีทวิตข้อความมาว่า “อังกอร์ของ AAA ก็ทำแบบไม่ชอบใจอย่างนั้นหรือ?” ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้นครับ สำหรับผมคิดว่า “อังกอร์ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ” แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าวงที่อยู่ในจุดยืนนั้นมาตลอด 10 ปี จู่ๆจะเลิกเล่นอังกอร์ไปล่ะก็ อันนั้นก็ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติมากกว่า วิธีการที่เป็นธรรมชาตินั้นแตกต่างกันไปต่างช่วงเวลา จะคิดว่าผมขัดแย้งในตัวเองก็ได้นะครับ
---แล้วก็ต้องรับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นตรงนั้นด้วย แสดงว่าเตรียมใจรับทุกอย่างเอาไว้แล้วสินะ
อะ ใช่แล้วครับ ถ้าเตรียมใจแล้วส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาครับ การเตรียมใจรับกับความเข้มแข็งที่จะต่อสู้มันพอดีกันอยู่ในตัวผมแล้วครับ
0 Comments