[TRANS] Nagase Ren 10000 words Long Interview (Myojo March 2022)

 

     สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับสู่ซีรีย์แปลสัมภาษณ์แก้บนของเรานะคะ หลายคนที่ตามทวิตเตอร์เราอยู่อาจจะพอทราบแล้วว่าตอนนี้เราสอบผ่าน N1 แล้วค่ะ (ในที่สุดดดด) ซึ่งเราแอบสัญญากับตัวเองตอนก่อนสอบเอาไว้ว่า ถ้าเราสอบ N1 รอบนี้ผ่าน เราจะแปล 10000 อักษรคิงปุริทั้ง 5 คนลงบล็อก คือเอาจริงเราก็ไม่รู้ว่ามีคนแปลไปแล้วบ้างหรือยังเพราะบทสัมภาษณ์ชุดนี้ออกมานานพอสมควรแล้ว แต่ในเมื่อเราสอบผ่านแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องผิดสัญญากับตัวเองและไม่ยอมแปลค่ะ

     สำหรับบทสัมภาษณ์ในชุดนี้จะมีทั้งหมด 5 ตอนด้วยกัน ซึ่งเราตั้งใจไว้ว่าจะทยอยแปลลงเดือนละคนจนครบ 5 คนก่อนถึงวันครบรอบ 5 ปีของวงนะคะ แต่ถ้าขยันพออาจจะเสร็จก่อนหน้านั้นก็ได้ อย่างน้อยที่สุดคือตั้งใจไว้ว่าอยากทำให้เสร็จก่อนที่สมาชิก 3 คนจะออกจากวงค่ะ 😭😭😭 จะเริ่มด้วยเร็น ไคโตะ จิน คิชิ และโชเป็นคนสุดท้ายตามลำดับค่ะ


     สำหรับรูปภาพที่ลงในบล็อก เราใช้เป็นรูปเซ็ตซิงเกิล We are young / Life goes on ซิงเกิลล่าสุดของคิงปุริที่จะออกในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ไม่ใช่รูปจากนิตยสารนะคะ แจ้งไว้ตรงนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ และในส่วนของบทสัมภาษณ์ก็มาจากเว็บไซต์ของทางเมียวโจที่ลงบทสัมภาษณ์นี้ให้อ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และตอนนี้ถึงจะผ่าน N1 แล้ว แต่ขอเคลมเหมือนเดิมเช่นเคยว่าเราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


 10000 words Long Interview 

 สมัยผมเป็นJr. 

 ฉบับ King & Prince 👑 

 ครั้งที่ 1 


 มีสมาชิกและแฟนๆ ที่ไว้ใจได้อยู่ 
 ในตอนนี้ผมพูดได้อย่างมั่นใจ 
 ว่านอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต้องการอะไรอีก 

 ❤  永瀬 廉  ❤ 

นางาเสะ เร็น

เกิดวันที่ 23 มกราคม 1999 บ้านเกิดโตเกียว เลือดกรุ๊ป A ความสูง 175 ซม.
เข้าจอห์นนี่ส์วันที่ 3 เมษายน 2011
CD เดบิวต์ในฐานะ King & Prince เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2018


King & Prince วงที่ได้ท้าทายใหม่ๆ ทั้งในแบบวงและแบบส่วนตัวเรื่อยมา
เป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้วตั้งแต่เดบิวต์ จึงมีความทรงจำมากมายที่เพราะเป็นตอนนี้ถึงอยากจะพูดออกมา
ในครั้งที่ 1 นี้คือนางาเสะ เร็น ผู้มีผลงานด้านการแสดงที่โดดเด่น
เหตุผลที่ทำให้ตัวเขาผู้เคยเข้ากับคนได้ยากและเกลียดการเป็นจุดสนใจนั้นเปลี่ยนแปลงมาได้ถึงขนาดนี้คืออะไรกัน
เพราะมีวันเวลาที่เจ็บปวด ตอนนี้จึงสามารถเปล่งประกายอยู่บนเวทีได้อย่างสง่าผ่าเผย



  ตอนนี้โอกาสเวียนมาถึงผมแล้ว  


──King & Prince กำลังจะล่วงเข้าสู่ปีที่ 5 ของการเดบิวต์แล้ว ระยะหลังมานี้นอกเหนือจากงานวงแล้ว นางาเสะคุงมีงานส่วนตัวที่ได้รับบทแสดงเป็นตัวเอกในเรื่อง "Okaeri Mone" และ "Wagemon ~Nagasaki Tsuuyaku Ibun~" ด้วยสินะ

❤ ขอบคุณครับ ผมได้ทำงานแสดงต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปีแล้ว รู้สึกได้ว่าเป็นที่คาดหวังอยู่ เลยรู้สึกว่าผมต้องพยายามฝ่าฟันตรงนี้ไปให้ได้ครับ แน่นอนว่าผมตั้งใจเต็มที่ทุกวัน น่าจะเรียกว่าเป็น "โอกาสที่เวียนมาถึง" ได้ครับ ถ้าพูดถึง (ฮิราโนะ) โช เขาคว้าโอกาสตอน "Hana nochi Hare ~Hanadan Next Season~" เอาไว้ได้เต็มที่ ดังนั้นเพลงเดบิวต์ "Cinderella Girl" ถึงได้ดังไปทั่วโลกได้ขนาดนั้น หากสมาชิกในวงจะได้โอกาสกันคนละครั้ง สำหรับผมแล้วก็คงจะเป็นตอนนี้นี่แหละครับ ความพยายามในตอนนี้จะทำให้ King & Prince เป็นวงที่เติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นผมจึงอยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่นครับ

──นั่นสินะ

❤  แต่ถ้าทำแค่งานส่วนตัวไปเรื่อยๆ ก็จะคิดถึงสมาชิกขึ้นมา ถ้าวันพรุ่งนี้มีงานวง ผมก็จะดีใจที่ได้เจอทุกคนที่ไม่ได้เจอกันมาสักพัก เพราะเป็นกลุ่มคนที่ตลกและสนุกสนานไม่เปลี่ยนแปลง เลยทำให้ผมรู้สึกว่าวงเนี่ยดีจังนะ ที่นี่คือบ้านเลยล่ะครับ

──งั้นขอถามอะไรหลายๆ อย่างโดยเน้นไปที่เรื่องก่อนจะเดบิวต์เลยนะ เห็นว่าสมัยเด็กย้ายบ้านบ่อยใช่ไหม?

❤ ใช่แล้วครับ ค่อนข้างจะเกลียดเลยครับ ผมก็รู้นะว่าทำอะไรไม่ได้ที่พ่อแม่ย้ายที่ทำงาน แต่เหมือนผมโดนจับแยกกับเพื่อนที่สนิทกันแล้วโดยไม่เกี่ยวกับความตั้งใจของผมเลย ผมเป็นคนเข้ากับคนยาก เข้าไปชวนใครสักคนคุยก่อนไม่เป็น เลยต้องใช้เวลามากกว่าคนทั่วไปที่จะสนิทกับคนอื่น พอคิดว่าในที่สุดก็สนิทกันแล้วก็จะย้ายบ้านอีก ยังไงก็มีการจากลารออยู่อีกแน่ๆ เลยมีช่วงเวลาที่ตัวผมไม่ชอบสนิทกับคนที่พบกันใหม่ๆ น่ะครับ

──เคยเป็นคนเข้ากับคนอื่นยากสินะ

❤ ใช่ครับ ไม่ใช่คนประเภทที่จะยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนน่ะครับ อืม กว่าจะเปิดใจได้ก็ใช้เวลามากเลย พอเปิดใจแล้วผมก็เฮฮาต่อหน้าคนเหล่านั้นได้ แต่พอจากกลุ่มนั้นไปอยู่กับเพื่อนห้องอื่นคนเดียวผมก็พูดอะไรไม่ออกอีก แต่ถ้าลองได้สนิทกันแล้วครั้งหนึ่งก็จะสนิทกันตลอดไปนะครับ ตอนนี้ก็ยังมีส่วนที่เป็นแบบนั้นอยู่

──แต่ถึงจะเข้ากับคนยาก สมัยประถมก็เนื้อหอมนี่นา?

❤ ไม่เลยครับ ก็นะ ถึงจะไม่เคยไม่เนื้อหอมก็เถอะ (หัวเราะ) เพราะผมเข้ากับคนอื่นยากถึงจะเนื้อหอมก็ไม่ดีใจอยู่ดี แถมสมัยประถมก็ไม่เคยรู้ตัวว่าเนื้อหอมหรือไม่เนื้อหอมซะด้วยสิ


  ถึงไปโตเกียวแล้วก็พยายามเข้าล่ะ รอของฝากดีๆ อยู่นะ  


──ตอนม.1 ที่ได้มาออดิชั่นเข้าคันไซจอห์นนี่ส์ Jr. เพราะแม่ส่งประวัติไปโดยที่ไม่รู้เรื่องสินะ?

❤ ครับ ก่อนเข้าจอห์นนี่ส์ผมไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ เลยเกลียดการออดิชั่นสุดๆ เลยครับ ร้องไห้ว่าไม่อยากไปเลยล่ะ แต่โดนแม่เอาของมาล่อด้วยคำว่า "เดี๋ยวซื้อของที่อยากได้ให้"

──เดิมทีแล้วทำไมคุณแม่ถึงสมัครเข้าจอห์นนี่ส์ให้ล่ะ?

❤ ไม่ได้ถามครับ น่าจะคิดว่าก่อนอื่นลองเข้าไปดูก่อนก็ได้มั้งครับ แบบคิดง่ายๆ น่ะครับ ก็จริงอยู่ที่เขาชอบอาราชิ แต่อยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้ครับ

──การออดิชั่นที่เข้าร่วมเป็นการออดิชั่นแบบสาธารณะสินะ

❤ ผมอยู่ในสภาพที่ต้องยืนอยู่บนเวทีที่มีผู้ชม หนีไปไหนไม่ได้ ประสบการณ์การเต้นก็ไม่มี เต้นไปก็อายไป แล้วในระหว่างออดิชั่น จอห์นนี่ซังก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมครับ ผมควรจะดีใจนะครับ แต่ยังไงผมก็ไม่อยากสะดุดตา ในใจเลยคิดว่า "ทำไมล่ะ!? พอเถอะ!" ครับ แล้วก็ออกดิชั่นผ่านเข้ามา ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกอยากทำต่อเลยสักนิดครับ เวลามีงานจะมีโทรศัพท์มาที่บ้านว่า "มาที่นี่ๆ เวลานี้นะ" จนทำให้ผมกลัวโทรศัพท์ที่บ้านดังไปเลยครับ

──ตอนนั้นมีสิ่งที่อยากเป็นหรือความฝันอะไรบ้างไหม?

❤ ไม่มีครับ ผมไม่มีความฝันในอนาคตมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วครับ ที่โรงเรียนจะมีการแจกชีทให้เขียนความฝันในอนาคตใช่ไหมครับ เพราะงั้นผมเลยลอกอาชีพที่คนข้างๆ เขียนอยู่เป็นประจำเลยครับ อย่างทำร้านดอกไม้อะไรแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่คิดเลยว่าจะได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงครับ

──แต่ก็เป็นที่คาดหวังนะ พอเข้าบริษัทแล้วก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ Aa Shounen ร่วมกับพวกนิชิฮาตะ (ไดโงะ) คุงและมาซาคาโดะ (โยชิโนริ) คุงทันทีเลยนี่

❤ ผมลนลานว่า “แย่แล้ว เข้ายูนิตซะแล้ว! ถ้าแค่ตัวเองคนเดียวน่ะไม่มีปัญหาหรอก ออกไม่ได้แล้ว!” เลยล่ะครับ

──ความประทับใจกับนิชิฮาตะคุงและมาซาคาโดะคุงเป็นอย่างไรบ้าง?

❤ ตอนแรกผมไม่ค่อยชอบไดโงะเท่าไหร่ครับ (หัวเราะ) ทั้งที่ไม่ค่อยได้คุยกันแท้ๆ แต่ผมกลับคิดไปเองว่า “คงเข้ากับผมไม่ได้หรอก” ตอนนั้นผมเลยพยายามไม่คุยด้วยเท่าที่จะทำได้ เดินก้มหน้าตลอด ส่วนมาซาคาโดะนี่ไม่มีแม้กระทั่งความประทับใจตอนพบกันครั้งแรกเลยครับ

──ตอนนั้นสนิทกับใครใน Jr. ล่ะ?

❤ ไม่สนิทเลยสักคนเดียว ถึงไปที่ทำงานก็ไม่คุยกับใครเพราะเข้ากับคนยาก แล้วก็ไม่ชอบอยู่แล้วด้วย คิดอยู่ตลอดเลยว่า “อยากกลับแล้ว” เพราะผมไม่คิดจะหาเพื่อนเลย ถึงแม้จะมีพวกรุ่นพี่เข้ามาชวนคุย ก็เลยจะคิดไปว่าไม่อยากยุ่งด้วย อย่ามาชวนคุยได้ไหมน่ะครับ

──ถ้าอย่างนั้น เหตุผลที่ยังเป็น Jr. ต่อล่ะ?

❤ ไม่กล้าพอจะออก แน่นอนว่าก็มีที่ค่อยๆ รู้สึกสนุกขึ้นทีละนิดด้วยครับ แล้วก็สนิทกับพวก (ฟุจิอิ) ริวเซย์คุง นนจัง (โนโซมุ โคทากิ) ชิเงะซัง (ชิเงโอกะ ไดกิ) ขึ้นมาบ้างแล้วด้วย คนที่คอยสนับสนุนผมค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด เลยเริ่มรู้สึกว่ามีค่าพอที่จะทำต่อครับ ตอนแรกรู้สึกว่าผมต้องพยายามมองหาในที่นั่งผู้ชมจนกระทั่งเจอพัดของตัวเอง จำได้ว่าพอเข้ามาได้สักหนึ่งปีล่ะมั้ง ผม ไดโงะ แล้วก็ (โอฮาชิ) ริวเซย์สามคนก็ได้จับกลุ่มกันเป็น Naniwa Ouji แล้วจากนั้นไม่ว่าจะมองไปตรงที่นั่งผู้ชมตรงไหน ก็จะต้องเห็นพัดของผมอยู่ในสายตาสักหนึ่งหรือสองอันตลอด ทำให้ผมดีใจและตั้งใจว่าจะทำต่อครับ

──พอเริ่มเข้ามาทำกิจกรรมของ Jr. มีอะไรอย่างอื่นที่เปลี่ยนไปอีกไหม?

❤ วิชวล (หัวเราะ)

──MC ตอนนั้นก็เคยโดนแหย่ในหัวข้อว่า “พอดูรูปตอนก่อนเข้าบริษัทแล้วค่อนข้างแตกต่างเลย ศัลยกรรมมาใช่ไหม!?” ด้วยนี่นะ

❤ ใช่ๆๆ แต่ว่าไม่ใช่แค่ผมนะ ผมว่าคนอื่นก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ พอเป็น Jr. แล้วแค่ตระหนักว่ามีใครสักคนกำลังมองอยู่ เลยเปลี่ยนสีหน้าทำตัวให้ดูดีน่ะครับ

──หลังจากนั้น ความประทับใจตอนฮิราโนะคุงเข้ามาเป็นยังไงบ้าง?

❤ แยงกี้ รู้สึกจะใส่แมสก์ แล้วรู้สึกจะดำมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว (หัวเราะ)

──หลังจากนั้น รายการวาไรตี้ “Maido! Jaani” ที่ Kin Kan ซึ่งมีฮิราโนะคุงกับมุไค (โคจิ) คุง กับ Naniwa Ouji ก็เริ่มขึ้นสินะ

❤ 6 คนสนิทกันมากครับ ถึงขนาดคิดว่า “ถ้าจะได้เดบิวต์ก็อยากเดบิวต์กับคนพวกนี้” เลย ได้แสดงไลฟ์กัน 6 คนด้วย การทำกิจกรรม 6 คนมันสนุกแล้วก็ชอบมากเลยครับ

──แต่กิจกรรมของ 6 คนก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ

❤ ใช่แล้วครับ ฮิราโนะไม่ก็ผมโดนเรียกไปที่โตเกียวบ่อยขึ้น จนสุดท้ายผมก็ย้ายไปโตเกียวด้วยงานของพ่อแม่ วันที่ย้ายไปโตเกียว ผมได้ข้อความจากไดโงะคุงด้วยครับ บอกว่า “ถึงไปโตเกียวแล้วก็พยายามเข้าล่ะ รอของฝากดีๆ อยู่นะ” เมลฉบับนั้นตอนนี้ก็ยังอยู่แล้วผมก็ยังจำได้เลย


  ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็น Jr. ต่อจนถึงอายุ 20  


──กิจกรรมของ Jr. เนี่ย ระหว่างของคันไซกับโตเกียว มีความแตกต่างกันบ้างไหม?

❤ แน่นอนว่าทางโตเกียวมีจำนวนคนเยอะกว่า แล้วก็สับเปลี่ยนกันดุเดือดด้วย มีบรรยากาศว่ากำลังต่อสู้กันเป็นรายคนน่ะครับ ในทางกลับกัน ทางคันไซเรียกได้ว่าสู้กันเป็นกลุ่ม เพราะ Jr. จะมีอยู่แบบคงที่ในระดับหนึ่ง เลยรู้สึกว่าทุกคนจะค่อยๆ สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ พอเข้ามาโตเกียวแล้วถึงได้รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าคันไซเองก็เป็นสถานที่ที่ดีครับ

──หลังจากเข้าโตเกียวมาแล้วก็ยังไปดูการแสดงของคันไซ Jr. บ่อยๆ สินะ

❤ ถึงไม่มีใครเรียกให้ไปผมก็ไปครับ ยังไงผมก็สนใจแล้วก็อยากดูการแสดงเฉยๆ น่ะ เพราะเพื่อนที่มีสมัยคันไซ Jr. ตอนนี้ก็ยังสนิมกันดีและเป็นคนสำคัญด้วย แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าที่ทำได้ในโตเกียวเพราะประสบการณ์จากในคันไซ ตอนนี้ก็ยังลืมเรื่องที่คันไซไม่ได้เลย กระทั่งความทรงจำแบบส่วนตัว เรื่องที่เผลอคิดถึงก็มักจะเป็นเรื่องตอนอยู่คันไซเสียเยอะครับ เพราะผมย้ายโรงเรียนบ่อย ในช่วงประถม ม.ต้น ม.ปลาย มีแค่ช่วงม.ต้น 3 ปีเท่านั้นที่ได้อยู่โรงเรียนเดิม 3 ปี

──หลังจากนั้นก็ตั้ง Mr.King vs Mr.Prince ขึ้น มีสังหรณ์ใจบ้างไหมว่าอาจจะได้เดบิวต์กับสมาชิกกลุ่มนี้?

❤ อาจจะมีก็ได้ พอได้ทำงานกับพวกคนเดิมๆ หลายๆ ครั้ง ก็พอจะรู้สึกเลาๆ ได้ว่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง

──หลังจากนั้นก็ได้ทำกิจกรรมกับฮิราโนะคุง ทาคาฮาชิ ไคโตะคุง 3 คนในฐานะ Mr.KING บ่อยเลยนะ

❤ คิดถึงจัง คือแบบว่า ผมเนี่ยเคยคิดว่าตัวเองพอได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง แต่ในแฟนเลตเตอร์เคยมีที่เขียนมาว่า “ถึงจะไม่เก่งแต่ก็พยายามอยู่สินะ” (หัวเราะ) ไม่ๆๆ ผมไม่ได้ไม่เก่งนะ แต่สองคนนั้นเขาทำได้ดีเกินไปต่างหาก ตอนนั้นผมคงหงุดหงิดนิดหน่อยแหละ แต่ตอนนี้จะคิดยังไงผมก็โอเคแล้ว เพราะคิดได้แล้วว่า “สองคนนั้นสุดยอดใช่ไหมล่ะ” แต่ว่าตอนนั้นน่ะนะครับ

──เคยคิดแบบนั้นด้วยสินะ

❤ ผมเคยทะเลาะใหญ่โตกับแม่ที่มาดูการแสดงแล้วบอกผมว่า “พยายามให้มากกว่านี้สิ” ด้วยนะ ประมาณว่า ไม่ๆ แม่ไม่รู้ว่าผมพยายามแค่ไหนต่างหาก ลองมาเป็นผมดูมั่งสิ

──ก็จริงนะ ความพยายามในตอนนั้นของนางาเสะคุงมีแค่คนที่ได้เห็นใกล้ๆ เท่านั้นถึงจะรู้สินะ เคยพยายามกระโดดกลับหลังที่เคยทำไม่ได้จนข้อมือบาดเจ็บจนกระทั่งคล่องมาแล้ว

❤ ยังไงก็ทุ่มสุดตัว ผมไม่มีประสบการณ์ด้านการเต้นเลยห่างชั้นกับสองคนนั้นมาก แต่ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วง เลยมาซ้อมก่อนเวลารวมตัว 2-3 ชั่วโมง

──งานก็ดูไปได้สวย แล้วเหตุผลที่ตัดสินใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยคืออะไร?

❤ ตรงนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในจุดหักเหมั้งครับ กิจกรรมของ Jr. สนุกและช่วยเติมเต็มด้วย เพียงแต่ผมไม่คิดจะทำต่อแบบเฉื่อยแฉะไปเรื่อยๆ น่ะครับ ผมคิดว่าถึงจะเป็นแถวหน้าของ Jr. แต่ในเมื่อเวทีนั้นเป็นของ Jr. ก็ไม่สามารถทำได้ตลอดไป ในตอนนั้น พวกผมได้งานเทียบเท่ากับวงที่เดบิวต์แล้วจริงๆ เลยกำหนดลิมิตไว้ว่าถ้าไม่ได้เดบิวต์ก็จะกลับไปเป็นคนธรรมดา แล้วคิดว่าถ้าจะเริ่มใหม่ก็สักตอนอายุ 20 แล้วกัน ผมตั้งลิมิตเอาไว้ตรงนั้น

──ก็คือไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพราะคิดเผื่อในกรณีที่เลิกเป็น Jr. เรอะ?

❤ อื-ม ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะเข้ามหาวิทยาลัยหรอกนะครับ แบบผมก็คงมีส่วนที่โลกสวยอยู่สักที่ เลยว่าถึงผมจะออกจาก Jr. ก็คงพอทำอะไรได้บ้าง ประมาณนั้น แต่แม่ทะเลาะกับผมอยู่หลายรอบว่า “ต้องไม่จำกัดทางเลือกในอนาคตด้วยตัวเอง” จนสุดท้ายผมถึงยอมรับแล้วตัดสินใจสอบเข้า

──แล้วเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการยังไงล่ะ?

❤ ตอนตัดสินใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย มี (นาคาจิมะ) เคนโตะคุงเป็นรุ่นพี่ที่คุยด้วยง่ายและกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่น่ะครับ พอไปปรึกษาว่าอยากเรียนแบบไหน อยากเข้ามหาวิทยาลัยแบบไหน เขาก็บอกว่า “งั้นมามหาวิทยาลัยฉันสิ” ผมติวสอบวันละ 7-8 ชั่วโมงจนสอบเข้าได้ครับ


  การพูดคุยโดยตรง เหมือนกับการสารภาพรัก  


──จำเรื่องตอนที่ไปคุยโดยตรงกับจอห์นนี่ซังเรื่องเดบิวต์พร้อมกันทุกคนได้ไหม?

❤ ครับ ผมกับคิชิ (ยูตะ) คุงเคยคิดกันก่อนหน้านั้นแปปเดียวว่า “เรื่องคุยโดยตรงรออีกแปปนึงแล้วกัน” ครับ แต่พอคุยกับสมาชิกกันเรื่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนใจ พอคิดตรงกันแล้วก็ไปหาจอห์นนี่ซังกันเลยครับ

──ทำไมถึงคิดว่าการพูดคุยโดยตรงมันเร็วไปล่ะ?

❤ ก็มันเหมือนกับการสารภาพรักน่ะครับ เหมือนพูดว่า “ชอบนะครับ” ผมจะหวังว่าอีกฝ่ายต้องตอบกลับมาว่า “ฉันเองก็ชอบค่ะ” แน่นอน 100% การพบกับจอห์นนี่ซังก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน เพราะงั้นลองคิดดูสิครับ ถ้าได้ทำงานที่ดีมากๆ ในฐานะ Jr. คงมีคนที่คิดว่า “เพราะงั้นถึงได้เดบิวต์ไง” และก็คงมีคนที่คิดว่า “ได้ทำงานที่สุดยอดขนาดนี้แท้ๆ ทำไมถึงไม่ได้เดบิวต์ล่ะ?” อยู่เหมือนกัน ซึ่งผมเป็นคนประเภทหลัง ที่ไหนสักแห่งในใจผมหวังว่าจะได้เดบิวต์ แต่มันก็ไม่ 100% เป็นสัดส่วนประมาณ 70:30 น่ะ

──สมมติว่าไปคุยโดยตรงแล้วเกิดทางนั้นไม่โอเคขึ้นมาจะทำยังไง?

❤ ที่จริงแล้วทุกคนคิดว่าถ้าโดนปฏิเสธตรงนี้ก็จะออกกัน พูดง่ายๆ ก็คือหลังชนฝาแล้ว เตรียมใจกันไว้แล้วว่าถ้าไม่ได้ก็จะยอมรับว่าไม่ได้แล้วตัดใจ แล้วค่อยไปหา ผลก็คือทางนั้นโอเคและยอมให้เดบิวต์

──แบ่งปันความยินดีร่วมกันกับสมาชิกเลยสินะ?

❤ ไม่ว่างพอจะอิ่มเอมกับความยินดีเลย เพราะหลังจากนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเราได้เพลงทันที และทุกอย่างจนถึงตอนเดบิวต์เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ไม่มีเวลาให้ดีใจว่า “ได้เดบิวต์แล้ว ทำได้แล้วนะ!” เลยล่ะ

──ความตื่นเต้นตอนเดบิวต์ King & Prince นี่น่าตกใจมากเลยนะ

❤ เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะครับ เรียกได้ว่าดีใจเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้ซะอีก ไม่คิดว่าจะได้เสียงตอบรับยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เกิดคาดเลยล่ะครับ

──เรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าพวกตัวเองได้เดบิวต์แล้ว?

❤ ความเยอะของรายการเพลงที่ได้ไปออกมั้งครับ รายการนั้น รายการนี้ แล้วก็รายการใหญ่ๆ ที่เคยใฝ่ฝันถึงมาตลอดมาเรียกตัวไปเรื่อยๆ แล้วก็ MV ด้วย งานแต่ละอย่างที่ได้รับหลังจากเดบิวต์ทำให้รู้สึกว่านี่คือการเดบิวต์หรือนี่ ใช้เวลาประมาณ 1 ปีได้กว่าจะความรู้สึกจะสงบลง

──ได้เดบิวต์ตอนอายุ 19 ก่อนถึงลิมิตเลยนะนี่

❤ นั่นสิครับ วันนั้นถ้าไม่ได้ไปพูดคุยโดยตรงก็ไม่รู้จะเป็นยังไง อาจจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้แล้วก็ได้นะครับ ถึงจะไม่มีใครรู้ก็เถอะ


  "ฉันน่ะ ชอบเร็นกับโชนะ!"  


──ช่วยฝากข้อความถึงสมาชิกอีกสักครั้ง ก่อนอื่นเริ่มที่ไคโตะคุง เห็นว่าตอนเจอกันช่วงแรกนี่เถียงกันบ่อยเลยใช่ไหม?

❤ คิดถึงจังเลย! ทะเลาะกันบ่อยด้วยเรื่องไร้สาระ เรื่องไม่เป็นเรื่องครับ เพราะเราทั้งคู่ยังเป็นเด็กอะเนอะ ไม่รู้จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอย่างใช้ไม่ใช้แฮร์สเปรย์ของผมตามใจชอบทำไมเนอะ แต่ตอนนี้ไคโตะเป็นสมาชิกที่อยู่ด้วยกันมากที่สุดแม้แต่ในเวลาส่วนตัวแล้วล่ะมั้งครับ ไปกินข้าวด้วยกันสองคนก็บ่อย แต่หมอนั่นจะไม่ชวนเองแต่ให้ผมเป็นคนชวนน่ะครับ อย่างเช่น “ช่วงนี้เหมือนฉันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเร็นเลยนะ?” อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) ในเวลาแบบนั้นแสดงว่ามีเรื่องที่อยากคุยหรืออยากถาม ผมก็จะเป็นคนชวนไปว่า “วันนี้ยุ่งหรือเปล่า?” ประมาณนั้น

──ฮ่าๆๆๆ

❤ หลายปีก่อนหน้านี้ มีช่วงที่ไคโตะขี้เหงาสุดๆ ด้วย มาถามว่า “ไปบ้านตอนนี้เลยได้ไหม?” แล้วก็มาหากลางดึกเลย พอคุยกันลึกๆ แล้วพอเรื่องที่คุยก็จริงจังขึ้น จู่ๆ ไคโตะเริ่มร้องไห้ออกมาก็มี ไคโตะเป็นคนที่คิดและพยายามในเรื่องวงอย่างเต็มที่ก็เลยกังวลในหลายๆ เรื่อง เคยพูดไปร้องไห้ไปว่า “ฉันน่ะ ชอบเร็นกับโชนะ!” ด้วยครับ เป็นคนที่คิดถึงวงจริงๆ ครับ

──ต่อไป คิชิคุง

❤ อื-ม คิซซัง เจอกันครั้งแรกตอนแสดงร่วมกันล่ะมั้ง เป็นคนที่โดนรุ่นพี่แกล้งแหย่บ่อยมาก และเป็นที่รักมากๆ ด้วย มารู้สึกเอาว่าคนคนนี้คงไม่ธรรมดาก็ตอนเริ่มทำกิจกรรมด้วยกัน 6 คนครับ ทุ่มสุดตัวให้หัวเราะกันในห้องแต่งตัวทั้งที่ไม่มีกล้องคอยถ่ายอยู่ แล้วก็มีเรื่องสมัยก่อน จู่ๆ เขาก็เอายาแก้ไอแบบผงใส่ปากเต็มไปหมด ปกติก็ต้องสำลักใช่ไหมครับ ทีนี้ผงสีขาวก็พุ่งออกจากปากทุกครั้งที่สำลัก แล้วเขาก็พูดว่า “มะ มังกร!” ในระหว่างที่ไออย่างรุนแรงไปด้วยครับ สมาชิกหัวเราะกันกลิ้ง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นตัวสร้างบรรยากาศในวงที่ทุ่มสุดตัวคอยทำให้คนอื่นได้หัวเราะ ความทุกข์ของพวกเราก็คือ ไม่สามารถบอกเล่าถึงความตลกของคิชิคุงในห้องแต่งตัวให้แฟนๆ ได้รู้ได้เลยครับ เพราะมันสุดโต่งไปหน่อยจนให้คนอื่นเห็นไม่ได้เลย

──ต่อไป จินกูจิ (ยูตะ) คุง

❤ จินเรอะ สมัยก่อนมีภาพว่าเป็นคนที่ควงสะโพก (หัวเราะ) จินน่าจะเป็นคนที่ความสัมพันธ์ไม่เปลี่ยนไปมากที่สุดแล้วในทางที่ดี ตั้งแต่เดบิวต์มาก็รักษาระยะห่างไม่ใกล้เกิน ไม่ห่างเกินมาตลอด เป็นคนขี้แกล้งสุดๆ บ้าบอ แล้วก็ตลก แต่ก็มีบางทีที่คิดว่ามีเรื่องอะไรกังวลใจอยู่หรือเปล่าเวลาเห็นพวกสีหน้าเวลาเผลอๆ ถึงจะไม่เคยถามเลยก็เถอะ บางทีพวกเราอาจจะเหมือนกันก็ได้ เป็นคนประเภทที่จะหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ละคนไม่ปรึกษากัน และพยายามไม่ให้เห็นด้านที่กำลังทุกข์ใจเท่าที่จะทำได้  ผมอาจจะแค่รู้สึกแบบนั้นไปเองก็ได้เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร เพราะจินเป็นคนอ่อนโยน ตอนเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Uchi no Shitsuji ga Iu Koto ni wa” ถึงจะถ่ายฉากของตัวเองเสร็จก่อนนานแล้วแต่ก็ยังรีบมาหา เขาเป็นคนอ่อนโยนแบบนั้นแหละ

──สุดท้าย ฮิราโนะคุง

❤ สมาชิกที่ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดตรงกันข้ามกับจินก็คือโชนี่แหละมั้ง คนที่คอยสนับสนุนพวกเรามาตั้งแต่สมัยก่อนน่าจะทราบกันอยู่แล้วว่า สมัยคันไซ Jr. เราสองคนตัวติดกันมาก แล้วพอมาโตเกียวได้สักพัก ผมเองก็เริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้วเหมือนกัน ถึงไม่ได้วางระยะห่างแต่ความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่ได้แตกคอกันแต่เวลาส่วนตัวที่อยู่ด้วยกันก็ลดลง ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียว แต่ผมต้องขอบคุณโชจริงๆ พลังของ “Hana Hare” มันยิ่งใหญ่มากจนถึงตอนนี้ก็ยังตระหนักได้ดีเลย ต้องขอบคุณที่ยืนอยู่ในฐานะเซ็นเตอร์ของวงอย่างสง่างาม การแบ่งหน้าที่ในวงนั้น ผมอยากเป็น MC ที่คอยตบมุกที่สมาชิกยิงมาอย่างสุดความสามารถ เพราะคิดว่าแบบนั้นจะเหมาะกับทุกคนมากกว่า แต่บางทีพอผมเล่นมุก โชจะเป็นคนที่คอยตบมุกให้ตลอด เห็นอย่างนั้นแต่ที่จริงเป็นคนจริงจังน่าดูเลยนะ เขาน่ะ (หัวเราะ) เป็นคนที่ไว้ใจได้มากๆ ในหลายๆ ด้านเลยครับ


  ผมน่ะภูมิใจที่ได้รับตำแหน่งอันดับสองติดต่อกัน 4 ปีซ้อนนะครับ  


──มีเป้าหมายหรือความฝันส่วนตัวหลังจากนี้ไหม?

❤ ผมคิดว่าชีวิตก็ได้แค่ปล่อยไปตามโชคชะตาและพยายามเท่าที่ทำได้ เลยอยากจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่มากกว่าตั้งเป้าหมายระยะยาวน่ะครับ และในความหมายนั้น ตอนนี้ก็เลยอยากพยายามกับการแสดงเป็นพิเศษครับ

──อย่างนี้นี่เอง

❤ เพราะผมได้รับรู้ถึงความยากและความสนุกของการแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง ”Uchi no Shitsuji ga Iu Koto ni wa” จึงตั้งใจว่าอยากทำให้ออกมาดี ดังนั้นช่วงนี้ก็เลยอยากให้โกรธผมเรื่องการแสดงเยอะๆ เลยนะครับ ผมเกลียดการโดนโกรธมากเลยล่ะ แต่เพื่อให้พัฒนาแล้วก็เป็นสิ่งจำเป็น และไม่ใช่แค่การแสดงเท่านั้นด้วยครับ การทำงานคนเดียวเนี่ยต้องใช้พลังใจมากกว่าปกติด้วย งานวงน่ะ ผมยังมีส่วนที่เผลอสำออยโดยไม่รู้ตัวอยู่ เพราะผมเองชอบอ่อนให้ตัวเอง แบบในใจจะเผลอคิดน่ะครับว่าถ้างั้นก็ให้สมาชิกทำไปก็แล้วกัน แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะทำแบบนั้นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผมทำผลงานได้ คนมากมายก็จะได้รู้จักวง และการให้สมาชิกคนอื่นได้เห็นผมที่เติมโตขึ้นแม้สักเล็กน้อยก็น่าจะช่วยกระตุ้นสมาชิกได้ด้วย เพราะผมคือสมาชิกคนหนึ่งของ King & Prince นางาเสะ เร็น แห่งวง King & Prince ถึงจะมีงานที่ทำเดี่ยวก็ไม่ใช่งานเดี่ยว ผมจะตระหนักแบบนั้นอยู่เสมอครับ

──งานแสดงยากจริงๆ ใช่ไหม?

❤ ยากสิครับ แต่เพราะอย่างนั้นถึงได้สนุก และต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างจริงจัง จะเรียกว่าไม่ชินก็คงได้ ตอนดูละครที่ตัวเองเล่นตอนออนแอร์ทุกครั้ง ผมจะสงบจิตสงบใจดูไม่ได้เลยครับ ยังไงก็เผลอกระวนกระวายตลอด ถึงจะเช็คงานที่ออกไปทั้งหมดแล้วก็จริง แต่ตรงส่วนนี้จะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ประมาณนั้น แบบความรู้สึกของตัวเองกับภาพที่ออกมาจริงมันต่างกันนิดหน่อย ตั้งแต่ตอนถ่ายทำก็ผ่านมาสักพักแล้ว 100% เมื่อตอนถ่าย พอมาดูตอนออกอากาศแล้วก็ดูไม่ใช่ 100% ในความหมายนั้นทำให้ผมมีแต่เรื่องเจ็บใจครับ

──นั่นน่ะ หมายความว่าตัวเองในตอนนี้นำหน้าตัวเองในอดีตขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรือ?

❤ ถึงอย่างนั้นก็เจ็บใจสุดๆ (หัวเราะ) ผมเลยพยายามไม่สร้างภาพว่าตัวเองในฐานะนักแสดงอยากเป็นแบบไหนในอีกหลายปี หลายสิบปีต่อจากนี้น่ะครับ แบบว่าตอนนี้พอพูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ สมัยผมเด็กๆ ผมมีประสบการณ์ย้ายบ้านหลายครั้ง เลยพยายามไม่คาดหวังกับอนาคต เรียกได้ว่าพยายามจะไม่ยึดติดกับอะไรอย่างหนึ่งมากเกินไป มีหลายอย่างที่พลังของตัวเองไม่สามารถทำได้ ถึงจะหวังให้แข็งแกร่งขึ้น แต่โอบกอดความหวังที่มากจนเกินควรเอาไว้ เพราะงั้นพอไม่เป็นไปตามที่หวังก็ช็อก และคิดว่ามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่มากกว่าจะตั้งเป้าหมายระยะยาว พยายามอย่างเต็มที่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคงดีกว่า

──ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ แต่ว่า นางาเสะคุงที่เป็นแบบนั้น ตอนนี้ก็กำลังหลงใหลในจอห์นนี่ส์ หลงใหลในการเป็นนักแสดงนี่

❤ ประหลาดดีนะครับ จะเรียกว่าเป็นจุดร่วมของจอห์นนี่ส์กับนักแสดงก็คงใช่ เรื่องที่ผมชอบคือการที่ทั้งสองอย่างทำให้ผู้คนประทับใจได้เหมือนๆ กันน่ะครับ คนที่ดูไลฟ์ของพวกผมแล้วประทับใจ คนที่ดูการแสดงของผมแล้วอินไปกับมัน ผมว่าการทำให้ใครสักคนประทับใจได้เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ไม่ว่าจะมีความสุขหรือเจ็บปวด อย่างน้อยที่สุดถ้ามันจะเป็นพลังในวันพรุ่งนี้ให้กับคนคนนั้นได้แม้เพียงสักนิดก็คงดี จะเป็นจอห์นนี่ส์หรือนักแสดงผมก็ดีใจแล้วครับ

──ถ้างั้น ก็ไม่ได้กำหนดเป้าหมายระยะยาวในฐานะวงเอาไว้ด้วยน่ะสิ?

❤ ใช่แล้ว แน่นอนว่าถ้าได้เป็นท็อป ได้เป็นอันดับหนึ่งก็คงดีนะครับ เพียงแต่โดยส่วนตัวแล้ว ความรู้สึกว่าอยากสนุกกับแฟนๆ ในช่วงเวลานี้ไปด้วยกันมันรุนแรงกว่าล่ะมั้ง ผมเอง ถ้าพูดถึงใน MYOJO แล้ว ผมเคยได้รางวัล “Jr. ที่อยากให้เป็นแฟน” อันดับสองอยู่ 4 ปีซ้อนสินะครับ มีคนพูดกับผมบ่อยๆ ว่า “ได้ที่สองตลอดเลย คงเจ็บใจสินะ” แน่นอน ผมเองก็มีความรู้สึกอยากเป็นที่หนึ่งเหมือนกัน แต่แบบว่า ผมน่ะภูมิใจที่ได้รับตำแหน่งอันดับสองติดต่อกันนะครับ ทุกคนต่างก็รู้สึกขอบคุณกับอันดับนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าคงมีแฟนๆ ที่รู้สึกว่ายังไม่พออยู่ และสมาชิกวงแต่ละคนก็มีความคิดที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ถ้าผมไปอยู่ในตำแหน่งของโชที่ยืนเป็นเซ็นเตอร์ของวง วิธีการคิดก็คงจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงเป็นอันดับสอง ผมก็ไม่มีทางพูดได้หรอกว่าพอใจแล้ว สิ่งที่ผมพูดได้อย่างไม่ต้องเกรงใจว่าการที่ผมได้ใช้ชีวิตในแบบของผม มีความสุขกับปัจจุบันนั้น เพราะผมได้ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้จึงพูดได้ และในความหมายนั้น ผมก็ต้องขอบคุณโชที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ด้วย

──แล้วคิดอย่างไรกับการเดบิวต์ของ SnowMan, SixTONES, Naniwa Danshi ล่ะ?

❤ ไม่ว่าวงไหนก็เป็นวงที่ทำผลงานออกมาได้เต็มที่ ถือเป็นแรงปลุกเร้าชั้นดีให้กับวงเลย รู้สึกได้ว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่เป็นแบบนี้ จะทำให้สายสัมพันธ์ของ King & Prince ลึกซึ้งขึ้นยิ่งกว่าเดิมครับ ถ้าพูดในแบบส่วนตัว เรียกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ทำให้รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคยครับ สมาชิกทั้ง 5 คนของ “Maido! Jaani” ได้เดบิวต์กันหมดแล้ว และยังแยกออกเป็น 3 วงด้วย ถ้าเป็นตัวเองในตอนนั้นคงเป็นอนาคตที่คาดไม่ถึงที่รออยู่ อาจจะเป็นอนาคตที่แตกต่างจากที่หวังเล็กน้อย

──พอคิดแบบนั้นแล้วก็สุดยอดเลยนะ

❤ เพราะเป็นตอนนี้แล้วถึงพูดได้ เคยมีช่วงเวลาที่ผมดึงรั้งสมาชิกของ “Maido! Janni” เอาไว้ด้วยครับ สาเหตุที่ไม่ได้เดบิวต์ด้วยสมาชิกชุดนั้นน่าจะเป็นเพราะพวกผมด้วย เพราะต้องไปโตเกียวเลยบอกความรู้สึกผิดในตอนนั้นกับใครไม่ได้ ในตอนนั้น ผมได้ยินจากไดโงะว่าคันไซ Jr. ก็โดนว่าอะไรต่อมิอะไรมากมายที่พวกผมหายไป แต่ว่าตอนเจอกันที่การแสดงของคันไซ Jr. ก็พูดไม่ออกครับ คำว่า “ขอโทษ” น่ะ คือมันเป็นเรื่องที่ “นายไม่ต้องมาพูดเลยนะ!” ใช่ไหมล่ะครับ เพราะงั้น ตอนนี้ที่ Naniwa Danshi เดบิวต์แล้ว เลยพูดความรู้สึกในตอนนั้นออกมาได้เสียที เพราะในตอนนั้น ทั้งการให้กำลังใจว่าพยายามเข้า หรือการบอกว่าขอโทษนั้นเป็นคำที่ผมพูดไม่ได้ เพราะอาจทำให้พวกเขาเสียใจได้น่ะ

──ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นนะ

❤ สิ่งที่ผมทำได้มีแค่เชื่อมั่นในตัวพวกเขา ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวคือสมาชิกจะออกกันไปหรือเปล่า แต่ว่า ผมที่ทำกิจกรรมอยู่ที่โตเกียวก็ไม่สามารถพูดได้ว่า “อย่าออกเลยนะ” ได้เหมือนกันครับ

──เป็นห่วงคันไซ Jr. ตลอดเลยนะนี่

❤ รุ่นพี่ที่ผมไปกินข้าวด้วยเป็นครั้งแรกตอนอายุ 20 คือโอคุระ (ทาดาโยชิ) คุงครับ ไปกับทามะซัง (ทามาโมริ ยูตะ) คนคนนี้เป็นคนตลกครับ ผมอยากสนิทกับเขาก็เลยเอ่ยปากชวนไปกินข้าวด้วยตัวเอง ในจังหวะที่สนิทสนมกันแล้ว โอคุระคุงก็ได้โปรดิวซ์ให้กับคันไซ Jr. พอดี ผมเลยถามโอคุระคุงบ่อยๆ น่ะครับว่า “Naniwa Danshi จะได้เดบิวต์ไหมครับ?” แน่นอนว่าโอคุระคุงเองก็มีเรื่องที่พูดได้และพูดไม่ได้กับผมอยู่ครับ ดังนั้นก็เลยจะพูดประมาณว่า “นั่นสินะ” เพราะ (มุไค) โคจิได้เดบิวต์ในฐานะ Snow Man และวงที่ได้เดบิวต์อย่างยิ่งใหญ่ตอนนี้ก็มีไดโงะ เพื่อนสนิทอยู่ สำหรับผมแล้วจึงถือเป็นสถานะที่คุ้มค่าสำหรับการทำงานหนัก และยินดีกับสถานะในตอนนี้ครับ


  สำหรับพวกเราแล้ว แฟนๆ คือออกซิเจน  


──ช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์แล้ว ช่วยฝากข้อความถึงแฟนๆ หน่อย

❤ แฟนๆ คือตัวตนที่ขาดไม่ได้สำหรับพวกผม เป็นกลุ่มคนที่จำเป็นเหมือนกับออกซิเจน จากนี้ไป ผมก็อยากให้ความสำคัญกับแฟนๆ ทุกคนในแบบของผม และคงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงวิธีที่ปฏิบัติต่อแฟนๆ ด้วย ไม่ว่าผมจะทำแบบไหน โดยพื้นเพแล้วก็มีความรักที่ส่งไปถึงแฟนๆ ทั้งนั้น หากสื่อไปถึงได้ก็คงดีครับ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนช่วยสนับสนุน King & Prince และผมแบบนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเบื่อเลยนะครับ

──ไม่ใช่แค่ในข้อความถึงแฟนๆ เท่านั้น แต่พอจะมองเห็นอยู่ในระหว่างการสัมภาษณ์ว่าดูมีความมั่นใจเหลือเฟือมาก ไม่ทราบว่าความมั่นใจนั้นมาจากไหน?

❤ ผมว่านั่นคือสิ่งที่สั่งสมกันขึ้นมาระหว่าง King & Prince กับแฟนๆ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ผมมีความกังวลมากมายและไม่มั่นใจหรอก ถึงจะเดบิวต์ในฐานะ King & Prince แล้วก็ยังเหมือนเดิม เพราะบางครั้งเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลและทำอะไรไม่ได้ก็เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด พวกผมและแฟนๆ ก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ ดังนั้นวงของพวกผม แม้ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องที่ต้องกังวลหรือทุกข์ใจ แต่ถึงอย่างนั้น นี่อาจเป็นทฤษฎีที่สุดขั้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็มั่นใจและเชื่อมั่นว่า หากเป็นเส้นทางที่ผมและ King & Prince ตัดสินใจจะเลือกเดิน ไม่ว่าเส้นทางจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีทางที่แฟนจะเหลือศูนย์อย่างแน่นอนครับ เหตุผลสำคัญที่สุดที่ผมดูเหมือนสบายๆ นั่นก็เพราะมีความมั่นใจว่าต้องมีใครสักคนที่รักใน King & Prince อย่างไม่เสื่อมคลายอยู่แน่นอน ห้ามลืมความทะเยอทะยาน และไม่คิดที่จะละเลยความพยายามเพื่อสิ่งนั้นครับ การตั้งเป้าว่าจะเป็นท็อปและเปล่งประกายนั้นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ แตกต่างกับความพอใจบนความใจดีของแฟนๆ ทุกคนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีคนที่รักพวกผมอยู่เสมอแน่นอน แล้วจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกล่ะครับ



สัมภาษณ์・เรียบเรียง / Mizuno Mitsuhiro


Post a Comment

0 Comments