BAKAMONO IN JAPAN : DAY 2 – FALLIN’ LOVE WITH KAWAGUCHIKO

บันทึกการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตของกะเหรี่ยงสาวชาวไทยผู้หลงใหลญี่ปุ่น กับทริปลุยเดี่ยวเปรี้ยวสุดๆ ณ ประเทศในฝัน

 

          วันที่ 19 พฤษภาคม 2013…

 

C360_2013-05-18-23-42-46-854

          วันนี้รีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 อาบน้ำแต่งตัวเช็คของทุกอย่างก่อนย่องออกจากโรงแรมตอนเกือบตี 5 กระเป๋าใบใหญ่เก็บไว้ที่โรงแรม พกติดตัวไปแค่เป้ที่ใส่เสื้อผ้าและเป้ใบเล็กใส่ของสำคัญอีกใบ ตอนตื่นขึ้นมาฟ้าเริ่มสว่างแล้ว พอเก็บของแต่งตัวออกมาข้างนอกก็ฟ้าสว่างโร่เหมือนประมาณ 7 โมงเช้าของเมืองไทย เราเดินเรื่อยๆไปลง Tokyo Metro จับรถไฟเที่ยวแรกไปชินจุกุเพื่อไปขึ้นรถที่สถานีรสบัส Fujikyu แน่นอน… เช้านี้ไม่ได้กินข้าวเช้าอีกตามเคย ไม่ได้แวะคอมบินิด้วยเพราะกลัวจะมาขึ้นรถไม่ทัน

 

IMG_2448

          นั่งรอสักพัก ไม่ช้าไม่นานรถคันที่จะพาเราไป Kawaguchiko ก็มาจอด รถคันนี้จะขึ้นทางด่วนจากโตเกียวไปยังจังหวัด Yamanashi โดยจอดแค่สามป้ายคือ Fujikyu High Land, Fuji-yama Station และ Kawaguchiko Station ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ที่นั่งของเราได้แถวหลังสุด ติดห้องน้ำ ริมหน้าต่าง พอคนขึ้นครบล้อก็หมุน ซึ่งคนครบเร็วมากๆและออกตามเวลาเป๊ะจริงๆ ด้วยความที่เราตื่นมาแต่เช้าบวกกับเมื่อคืนก็นอนน้อยเพราะมัวแต่ฟินกับคอนเสิร์ตและเตรียมการอะไรหลายๆอย่างก็เลยเรียกได้ว่านั่งหลับไปตลอดทาง

          พอรู้สึกตัวตื่นเต็มตาอีกที นอกหน้าต่างก็มีภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้ากระจกแล้ว เราใกล้จะถึงสถานีแรก Fujikyu High Land เต็มที อารมณ์ในตอนนั้นคือมองฟูจิตาค้าง ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นได้ชัดมาก ยอดภูเขายามเช้ามีหิมะทับถมและไหลลงมาตามสันเขา ใหญ่โต แต่ดูสงบมาก มันเป็นความประทับใจแรกที่ลืมไม่ลง เอาแต่จ้องมองฟูจิอยู่อย่างนั้นตลอดทางจนถึง Fujikyu High Land ซึ่งสถานีนี้คนลงเยอะมาก ก่อนจะไปที่สถานี Fuji และสถานีปลายทาง Kawaguchiko

 

IMG_2452

          ลงจากรถมา เหลือบมองนาฬิกา ยังไม่ถึงแปดโมงดี อากาศกำลังหนาวได้ใจต้องกอดกระเป๋ากระชับเสื้อเข้าไว้ มองไปที่สถานีคาวากุจิโกะที่ยังไม่ค่อยมีอะไรเปิดขายนอกจากเคาเตอร์ขายตั๋วรถบัสต่างๆ ตั๋วไปชม Shibazakura ก็ยังไม่เปิดขาย เราก็เลยไปเดินเตร่ๆแถวนั้น ไปซื้อข้าวเช้ามากิน ไปเดินหาร้านเช่าจักรยาน ตอนหาร้านเช่าเราเดินเข้าไปถามตรงนายสถานีรถไฟ ผงะไปนิดนึงตอนเปิดหน้าต่างออกมาเพราะพี่เค้าอิเคเมนได้ใจมาก ถึงขั้นสะดุดนึกไม่ออกว่าจะถามอะไรไปเลยทีเดียว แอบเสียดายนิดๆว่าทำไมตอนแรกเราไม่ลงสถานีฟูจิแล้วนั่งรถไฟน่ารักๆขบวนนั้นมาที่คาวากุจิโกะนะ

 

C360_2013-05-19-07-51-02-311

          ช่วงที่รอบูธเปิดก็เดินไปที่โน่นที่นี่บ้าง ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นฟูจิชัดเจนจนรู้สึกเหมือนจะเอื้อมมือจับได้อยู่ตรงหน้า รู้สึกได้เลยว่าตัวเองถ่ายภาพไม่สวยจริงๆ เพราะไม่ว่าจะถ่ายกี่รอบๆ พยายามจะถ่ายยังไงก็เก็บความสวยงามของฟูจิที่เห็นด้วยตาตัวเองไม่ได้จริงๆ นั่งมองไปกินข้าวไปมันมีความสุขแบบนี้นี่เองสินะ

 

IMG_2462

          พอใกล้จะถึงเวลา 9 โมงเช้า พนักงานก็มาเปิดบูธขายตั๋ว Shibazakura เราได้ซื้อตั๋วคนแรกๆและไปรถเที่ยวแรกสุด คนไทยเยอะมาก เยอะจนขอเนียนว่าไม่ใช่คนชาติเดียวกันไปเลย เหตุผลคือ ไม่อยากยุ่งยาก เราเที่ยวคนเดียวของเราเองได้ ไม่อยากรู้จักคนไทยเพิ่มเพราะถ้ารู้ว่าคุยภาษาเดียวกันได้ก็จะโน่นนี่กันเยอะแยะมากมายซึ่งเราไม่ต้องการ ก่อนหน้าที่จะซื้อตั๋วนี่จริงๆแล้วมีคนไทยกลุ่มนึงไปยืนๆดูป้ายเรื่องลดราคาตั๋วอยู่แล้วก็เดากันไปเรื่อยเปื่อย เราเลยเข้าไปบอกให้ว่าถ้าซื้อตั๋วเรโทรบัสแบบนี้ๆ จะได้ส่วนลดแบบนี้ๆ เค้าก็หันมามองเราแบบทึ่งๆนึดนึงแล้วมีเสนอว่า ซื้อตั๋วด้วยกันไหม ไปด้วยกันไหม เรารีบปฏิเสธไปเลยว่าไม่เป็นไรค่ะแล้วก็ถอยห่างจากตรงนั้นมาเลย จากนั้นก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีเวลาได้ยินภาษาไทยตลอด อีกอย่าง คนญี่ปุ่นพอเห็นหน้าเราทุกคนจะรัวภาษาญี่ปุ่นใส่ ซึ่งเราฟังออกก็เลยไม่เป็นปัญหา เนียนได้สบายๆ (แม้สำเนียงฟังแล้วจะรู้เลยว่าเป็นกะเหรี่ยงก็ตามที)

          บางทีก็สงสัยเหมือนกัน คนไทยที่มาเที่ยวหลายๆคนทำเหมือนกับว่าที่นี่พูดอะไรก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย มีคนญี่ปุ่นมากมายที่รู้ภาษาไทย และมีคนไทยมากมายที่เป็นแบบเราคือ รู้ภาษาญี่ปุ่นด้วยและทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้เวลาได้ยินเค้าคุยกัน แล้วหลายๆคนจะชอบพูดประมาณว่า เค้าคงสงสัยว่าพวกนี้มันพูดอะไรกัน คืออย่านึกว่าไม่มีใครรู้นะคะ เค้าแค่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับคุณๆมากกว่า ยังดีที่เราไม่เจอคนไทยด้วยกันมาทำมารยาททรามใส่

 

shiba

          นั่งรถจากสถานีมาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็เข้ามาในหุบเขาซึ่งเป็นที่จัดงาน 富士芝桜祭り (Fuji Shibazakura Festival) แล้ว ซึ่งปีนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนเป็นต้นมา พอเข้าไปข้างในแล้วถึงกับตะลึงกับภาพท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่ปูพรมไปด้วยดอกไม้สีหวานมากมาย ทั้งขาว ม่วง ชมพูเต็มทะเลสาบไปหมด และที่สวยที่สุดคือภาพของภูเขาไฟฟูจิที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากอยู่ข้างหลัง ดูฟูจิใกล้กว่าที่เคย มองเห็นหิมะบนยอดเขาที่ไหลลงมาเป็นเส้น เป็นภาพประทับใจไปอีกนานแสนนาน ตัวดอก Shibazakura เองก็สวยมาก มีหลากหลายสายพันธุ์ หลากหลายสีให้เราเดินดู ซึ่งเค้าจะปลูกเอาไว้เป็นแปลงๆพร้อมป้ายปักบอกว่าตรงนี้เป็นพันธุ์อะไร เรียกว่าได้ความรู้กลับมาด้วย

 

C360_2013-05-19-10-09-44-158

           ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วก็อยากจะมีรูปกับสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง ดอกไม้สวยๆเต็มทุ่งแบบนี้ ถ่ายเองก็ไม่ยากอะไร และก็ไม่ยากจริงๆ ถ่ายตัวเองไปมา ได้รูปที่พอใจแล้วก็เบื่อ เดินถ่ายดอกไม้สายลมต่ออย่างมีความสุข อากาศเย็นๆกำลังสบาย หลายๆคนมากับครอบครัว จูงลูกจูงหลาน พาพ่อแม่มาเที่ยวกันมากมาย งานนี้มีเด็กๆวิ่งเล่นกันเยอะกว่าที่คิดและส่วนใหญ่ที่เห็นก็พ่อแม่หนุ่มสาวกันทั้งนั้น

 

food

          นอกจากดอกไม้แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คืออาหาร อาจจะเป็นอย่างที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Hana yori dango (กินขนมดีกว่าชมดอกไม้) แต่อันนี้คงเป็น กินไป ชมดอกไม้ไป ให้ความรู้สึกที่ดีไม่หยอกเหมือนกัน อาหารที่ขายก็จะเน้นไปที่ความเป็น Shibazakura มีอาหารพิเศษหลายๆอย่าง ของที่ระลึกจำนวนจำกัดที่ซื้อได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ของที่ระลึกและขนมที่เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ ข้าวกลางวันเป็น 特別キーマ丼 (Tokubetsu Kima Don) เป็นเนื้อหมูฟูจิซากุระ รสชาติออกแนวเครื่องเทศนิดนึง และลองชิมขนมไทยากิไส้ kinako เค้าจะมีน้ำจิ้มหวานๆมาให้ราดด้วย เราลองกินแล้วก็แปลกๆดี ด้วยความที่อากาศหนาว การได้กินอะไรร้อนๆบวกกับบรรยากาศดีๆแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าอร่อยขึ้นมาก

 

flower 

          พอพักกินอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเดินดูทางเดินอีกช่วงที่ไม่มีชิบะซากุระ เค้าจัดไว้คล้ายๆทางเดินป่าซึ่งจะมีดอกไม้บานริมทาง ให้บรรยากาศโรแมนติกไปอีกแบบ แต่ด้วยความที่เป็นวันอาทิตย์และคนเยอะ บรรยาศแบบที่ว่าเลยไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ ดอกไม้ริมทางสวยมากและต้นไม้ใหญ่ๆเยอะมากสมกับที่อยู่ในหุบเขา ให้ความรู้สึกสงบสุดๆ

 

IMG_2528

          เมื่อเดินดูจนทั่วแล้วก็ได้เวลากลับสถานีคาวากุจิโกะเสียทีนั่งรถกลับมาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆ ด้วยความงก ไม่อยากนั่งเรโทรบัสเท่าไหร่เพราะแผนที่เราจะไปนั้นกะว่าจะเที่ยวอยู่ข้างนอกจนถึงทุ่มนึง แต่เรโทรบัสมันหมดเที่ยวสุดท้ายตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ ก็เลยว่าจะไปหาเช่าจักรยาน เดินไปเดินมา ถามร้านแล้วคิดราคาค่อนข้างแพง บวกกับนึกขึ้นได้ว่าที่โรงแรมก็มีจักรยานเช่า เลยตกลงใจว่าจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมก่อน เค้าเขียนไว้ว่าเดินประมาณ 15 นาทีถึง เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเดินแค่นี้สบายๆ แต่ด้วยความที่ยังงงกับทิศทาง ก็เลยไปตามทางของ Google Navi ไม่ได้ดูตามแผนที่ถนนใหญ่ที่ถือไว้แต่แรก ซึ่งมันพาเราเลี้ยงเข้าซอกซอยเล็กซอยน้อยไปเจออะไรอีกเยอะแยะมากมาย

 

sanpo

          เรียกง่ายๆว่าหลงทางในคาวาจิโกะก็คงได้มั้ง (ฮา) แต่มันเป็นการหลงทางหาโรงแรมที่ได้อะไรมาเยอะแยะนะ อย่างแรกเลย ใช้  Google Navi เป็นก็วันนี้แหละ (ฮา) แต่เส้นทางอ้อมมาก ไม่ได้ลัดเลย เราได้เห็นบ้านเรือน ได้เห็นดอกไม้สวยๆ โดยเฉพาะทุ่งทันโปโปะดอกใหญ่ๆที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ว่างๆเต็มไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆเรื่อง เพลงหลายๆเพลงถึงหยิบยกเอาดอกนี้มาใช้ประกอบเนื้อเรื่อง ดอกมันใหญ่ แลดูบอบบาง และฟุ้งฝันมาก พอได้เห็นของจริงแล้วเราก็พลอยชอบเจ้าดอกนี้ไปด้วย ได้เห็นป้ายระวังเด็ก ป้ายระวังทางลาดชันลงเขาเขียนด้วยมือ และเจอคุณยายพาน้องหมามาเดินเล่น เราเดินไป คุณยายหันมายิ้มแล้วทักทายด้วย น่ารักมากๆเลย

 

retrobus

          หลังจากเลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยน้อยมากมาย ใช้เวลาไปร่วมครึ่งชั่วโมง สุดท้ายแล้วมาเจอว่าค่าเช่าจักรยานที่โรงแรมแพงหน้าเลือดกว่ามาก เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงกับความงกไม่เข้าท่าแล้วและเราจะไม่ยอมเสียอีก ก็เลยฝากกระเป๋าไว้ก่อนแล้วออกมานั่งเรโทรบัสกลับไปสถานีคาวากุจิโกะ ไปซื้อพาสเรโทรบัสมาใช้จนได้ ใช้ส่วนลดของ Fuji Hakone Pass ได้มาในราคา 800 เยน และออกเดินทางไปสู่จุดหมายต่อไปที่เราเฝ้าฝันอยากจะไปมาตลอดตั้งแต่ช่วงหาข้อมูลท่องเที่ยว

 

music1

          河口湖オルゴールの森美術館 (Kawaguchiko Music Forest) สถานที่ซึ่งรวมรวมพวกเครื่องดนตรีต่างๆโดยเฉพาะกล่องดนตรีมากมาย กับบรรยากาศแบบยุโรปผสมกับฉากหลังที่เป็นภูเขาไฟฟูจิให้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นซึ่งเข้ากันอย่างลงตัว ซึ่งข้างในก็สวยสมกับที่รอคอยมาตลอด ตอนนี้ฝนใกล้จะตกแล้ว อากาศหนาวและลมแรงมากจนเสื้อเอาไม่อยู่ ปากสั่นคอสั่น ถ่ายรูปด้านนอกได้สักพักจนมือชาทนไม่ไหว ต้องหลบเข้าในตัวอาคาร

 

music2

          ถึงแม้ว่าฝนใกล้จะตกเต็มที แต่เราก็ยังโชคดีที่ได้เห็นฟูจิท่ามกลางเมฆหมอก และการจัดสวนต่างๆของที่นี่นั้นก็บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ มีกล่องดนตรีและเครื่องดนตรีตั้งไว้ให้ลองเล่นมากมาย มีเพลงเพราะๆ มีน้ำพุดนตรีที่จะแสดงทุกชั่วโมง มีสวนดอกไม้สวยๆและพนักงานหนุ่มอิเคเมน(?) ถ้าไม่ติดว่ามันหนาวมาก เราก็อยากจะนั่งชมบรรยากาศข้างนอกต่ออีกสักหน่อย

 

music3

          นอกจากการจัดแสดงด้านดนตรีแล้ว ที่นี่ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเรื่องการอพยพตั้งถิ่นฐานของชาวญี่ปุ่นรอบภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย มีการจัดแสดงข้าวของรวมถึงบอกเล่าประวัติศาสตร์ต่างๆของพื้นที่ในแถบนี้ รวมถึงเรื่องของหิมะ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งของทะเลสาบทั้งห้าแห่งรอบฟูจินั้นต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป

          ช่วงนี้ยังมีการเปิดขายกล่องดนตรีเก่าอีกด้วย โดยมีการนำกล่องดนตรีในสมัยต่างๆมาจัดแสดงพร้อมราคา เราสามารถขอลองฟังเสียงได้ และตัวกล่องกับแผ่นเสียงต่างๆก็มีการประดับประดาอย่างสวยงาม และถ้าถูกใจก็ติดต่อกับพนักงานได้ แต่ราคานั้นก็ขึ้นแสนเยนล้านเยนอยู่ เราก็ทำได้แค่ดูและฟังเพลงเพราะๆจากกล่องเกล่านี้เท่านั้นเอง

 

music4

           ในด้านของการแสดงดนตรี ที่นี่จะมีฮอลล์ใหญ่ที่จะเปิดให้เข้าไปนั่งชมได้ฟรีๆ โดยจะเป็นการแสดงของกล่องดนตรีโบราณที่มีการบรรยายประวัติต่างๆประกอบ เช่น สร้างขึ้นในสมัยใด บรรเลงเพลงของใคร ใช้เครื่องดนตรีกี่ชนิด มีเทคนิคอะไรพิเศษบ้าง เป็นต้น เหมาะกับการมานั่งพักผ่อนหลังจากเดินมาทั้งวันมาก เราเข้าไปนั่งฟังแล้วสักพักก็แทบจะหลับไปเหมือนกันด้วยความสบายและเพลงที่บรรเลงกล่อม

         เมื่อออกจากเมนฮอลล์มา ด้านข้างจะมีการจัดแสดงกล่องดนตรีในรูปแบบของตุ๊กตากลซึ่งรวบรวมของจากหลากหลายประเทศเอาไว้ พนักงานจะนำชมไปทีละตัวๆพร้อมกับบรรยายประวัติและเล่นกลไกให้เราได้ดู จนทำให้เราดทึ่งไปกับความสามารถในการสร้างของเหล่านี้ขึ้นมามากไม่ได้

          ส่วนของที่ระลึกที่มีขาย จะมีทั้งซีดีเพลงคลาสสิก เพลงบรรเลงในรูปแบบของกล่องดนตรีที่ทำออกขายเป็นซีดี มีเพลงของ Mr.Children, Arashi และมีเพลง J-Pop ที่ทำออกมาเป็น Music box collection บันทึกลงแผ่นซีดี มีไวน์ ช็อกโกแลต ขนมต่างๆ เครื่องเงินและเครื่องประดับสวยๆ ของเบ็ดเตล็ดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือ กล่องดนตรีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเพลงในกล่องดนตรีก็เป็นเพลง J-Pop เยอะแยะมากมาย เช่น Heavy Rotation, Aitakatta ของ AKB48 / Sekai ni Hitotsu dake no Hana ของ SMAP / Aruiteikou, Arigatou ของ Ikimonogakari / One Love ของ Arashi / Ki.SE.Ki ของ GReeeeN / Maru Maru Mori Mori / Rising Sun ของ EXILE และเพลงคลาสสิคเช่น Canon ก็มีเช่นกัน โดยจะมีรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามความชอบ

 

IMG_2602

          รถเรโทรบัสใกล้จะหมดเต็มที ใจจริงอยากจะเดินดูต่อให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ฝนลงเม็ดแล้ว เราจึงจำใจต้องออกจากที่นี่ไปโดยไม่ได้เดินดูสวนดอกไม้ ที่นี่เค้าจะมีร่มวางไว้หน้าทางเข้าออกทุกอาคารให้เรายืมไปใช้เดินข้างในตามสะดวก เราถามเค้าว่าฝนหยุดหรือยัง จะไปขึ้นเรโทรบัสทันไหม พนักงานบอกว่ายังไม่หยุด แล้วก็ช่วยดูตารางรถให้เสร็จสรรพ พร้อมกับใจดีบอกว่าให้เรายืมร่มเดินออกไปได้จนถึงข้างหน้าที่มันใกล้ป้ายรถเมล์แล้วคืนเอาไว้ที่ตรงนั้นได้เลย เราก็เลยได้แค่เดินผ่านสวนดอกไม้ไปที่ทางออกแล้วเดินออกไปรอรถข้างนอก ตอนนี้อากาศหนาวปากคอสั่นมาก

 

IMG_2617

          นั่งรถกลับมาจนถึงป้ายหน้าที่พัก ฝนซาเม็ดแล้ว เราก็เข้าไปเอากระเป๋าเช็คอินเข้าห้องพัก ก่อนจะออกไปเดินเล่นหาข้าวเย็นกินเนื่องจากยังไม่มืด เราไม่ได้จองอาหารเย็นของโรงแรมไว้เพราะเราเห็นว่ามันแพง และเราก็ไม่มีปัญหากับการเดินออกไปหาของกินอยู่แล้ว ก็เลยแบกเป้กระชับเสื้อฝ่าฝนพรำออกไปอีกรอบ เป็นการเดินออกไปหาของกินที่ไกลมาก เฉพาะเดินไปอย่างเดียวน่าจะถึงสามกิโลเมตรได้ เพราะเราเดินอ้อมแล้วไปตามทางเรโทรบัสที่นั่งเมื่อกลางวัน

         เราเข้าไปเดินด้อมๆมองๆหาของกินในแฟมมิลี่มาร์ทแต่ก็ได้มาแต่ช็อกโกแลตกับชาขวดเดียวเนื่องจากตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินข้าวกล่องอันไหนดี สุดท้ายตัดสินใจเข้าแฟมิเรสแถวนั้นแบบเอ๋อๆ พนักงานถามอะไร ข้างในต้องทำยังไงนี่เรางงมากถึงมากที่สุด เอ๋อตั้งแต่ถามว่านั่งที่สูบบุหรี่หรือเปล่านี่แหละ ฮ่าๆ ตอนสั่งก็เอ๋อมากว่าต้องทำยังไง สุดท้ายมองไปที่โต๊ะ เห็นปุ่มเรียกพนักงานก็ถึงบางอ้อ โง่อยู่ตั้งนาน แต่ก็ได้กินซุปกิมจิร้อนๆกับข้าวสวย (ที่ไม่น่าสั่งเพิ่มมาในชุดแต่แรกเลย แค่ซุปอย่างเดียวก็อิ่มอืดแล้ว) ช่วยให้หายหนาวไปได้เยอะมาก หลังจากนั้นก็เดินกลับทางเดิมตอนประมาณสองทุ่ม

          ถึงแม้ว่าจะเดินคนเดียวตอนกลางคืนก็เถอะ บอกตรงๆว่าเราเดินที่ญี่ปุ่นแล้วเราไม่กลัวเลย เรารู้สึกว่าที่นี่มันปลอดภัยกับตัวเรามาก เดินคนเดียวไกลๆตอนกลางคืนได้ ไม่ต้องคอยระวังเป้หลังว่าจะมีใครมาวิ่งราวไปหรือเปล่า เดินไปสูดอากาศสดชื่นไปจนถึงที่พัก อย่างมากก็ปวดอุ้งเท้านิดๆแต่พักแปปเดียวก็หาย ขาไม่เมื่อยเลยสักนิด

 

IMG_2618

          ที่พักเราก็เลือกแบบถูกสุดตามสไตล์ เป็นห้องนอนรวมตามเคย แต่มันพิเศษตรงที่วันนี้มันไม่มีใครพักในห้อง 8 เตียงด้วยกันกับเราเลยนี่แหละ เราเลยได้ยึดห้องกว้างๆห้องนี้คนเดียวแบบสบายใจเฉิบ แง้มหน้าต่างไว้นิดๆให้ลมหนาวพัดเข้ามา แค่นี้ห้องก็เย็นสบายโดยไม่ต้องเปิดแอร์ และเราเป็นคนไม่กลัวผีด้วย จริงๆเรียกว่าไม่มีเซนส์ด้านนี้เลยก็คงไม่ผิด การนอนคนเดียวแบบนี้เลยไม่มีปัญหาอะไร

          จากนั้นเราก็ไปเช่าชุดยูกาตะ ลงไปแช่ออนเซ็นของทางโรงแรม เหตุผลหลักที่เราเลือกที่นี่เป็นเพราะมีออนเซ็นให้เราลงได้ไม่จำกัดรอบถ้าเข้าพักนี่แหละ ก็ไปเอ๋อๆสักพัก อาศัยถามคนที่ลงออนเซ็นตอนนั้นว่าต้องทำยังไงบ้าง เราไม่เคยลง เค้าก็ใจดีช่วยอธิบายให้เรา จัดการแก้ผ้าลงเลยค่า ตอนถอดก็เขินๆนิดนึงนะ แต่บอกตัวเองว่าใครๆก็ทำกัน ก็เลยถอดแล้วเอาผ้าปิด เดินเข้าไปข้างในเลย พอเข้าไปถึงที่อาบน้ำ ความอายมันก็หายไปหมดแล้ว เพราะทุกคนก็สภาพเดียวกับเรา และเราไม่มีคนรู้จักบวกกับเป็นออนเซ็นแยกชายหญิง เลยแก้ผ้าสบายใจไม่อายใคร แต่เอาจริงๆก็อยากลองออนเซ็นรวมดูสักครั้งเหมือนกัน

          ลงไปลองแช่ออนเซ็นสองแบบ มันจะมีบ่อด้านใน ซึ่งน้ำร้อนมาก กว่าจะลงได้ต้องค่อยๆหย่อนอยู่นานมาก กับบ่อด้านนอกที่มีหลังคาอีกสองบ่อ บรรยากาศเปิดโล่ง ล้อมรอบบ่อด้วยหิน บ่อนี้น้ำอุ่นกำลังดี ลงไปแช่ฟังเสียงฝนกระทบหลังคาเปาะแปะแล้วแทบไม่อยากจะขึ้นเลยทีเดียว มันสบายมาก ที่เดินมาทั้งวันมันละลายหายไปกับน้ำหมดเลย พอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงชอบแช่ออนเซ็นกันนัก

 

C360_2013-05-19-21-52-57-631

          ขึ้นจากออนเซ็นมาใส่ยูกาตะ คือใส่ผิดใส่ถูกอยู่พักใหญ่ ตาก็ส่องไปด้วยว่าคนอื่นเค้าใส่กันยังไงแล้วก็พยายามทำตาม การจะมัดไม่ให้โป๊นี่มันก็ยากเหมือนกันนะสำหรับมือใหม่อย่างเรา แต่พอใส่ได้แล้วก็ฟินมาก รู้สึกว่านี่ล่ะ เรามาถึงญี่ปุ่นจริงๆแล้ว ที่นอนก็เป็นฟูกบนทาทามิ นอนแล้วแทบจะจมลงไปเลย สบายมาก สบายจนซุกตัวนอนแล้วแทบไม่อยากลุกเลยทีเดียว

 

IMG_2640

          วันนี้ก็จบลงไปด้วยความฟินขั้นสูงสุดที่ได้เห็นฟูจิด้วยสองตานี้ทั้งวัน ได้ลงออนเซ็น ได้เจออะไรแปลกๆใหม่ๆที่ไม่เคยเจอ ถึงวันนี้จะเดินไม่ต่ำกว่าสิบกิโลก็ตามที แต่ไม่มีอาการเมื่อยเลยสักนิด อากาศเดินสบายสุดๆ ดีใจมากที่ได้มาที่นี่ ถ้ามีโอกาสครั้งหน้า มีเวลามากกว่านี้ก็อยากจะมาที่นี่อีกสักครั้ง

          ยังเหลือวันพรุ่งนี้ที่ต้องตะลุยอีกวัน ขอให้เป็นวันที่ดีด้วยเถอะนะ…

Post a Comment

0 Comments