[TRANS]【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 02 Uno Misako


     สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เรามาพบกันถี่ๆเนื่องด้วยโปรเจ็กต์แปลบทสัมภาษณ์เดี่ยวของสมาชิก AAA นะคะ สำหรับครั้งนี้เป็นคนที่ 2 นั่นคือเจ้มิซาโกะของเรานั่นเอง ในส่วนของคนที่แปลไปแล้วสามารถย้อนดูในหน้า TRANSLATION ได้ค่ะ จากนี้ไปเราจะพยายามแปลและมาอัพให้ครบทุกคนนะคะ อาจจะนานสักนิดเพราะมีภารกิจส่วนตัวอีกหลายอย่าง แต่เปิดโปรเจ็กต์แล้วก็ต้องจบให้ลงค่ะ ฮาาาา

    ส่วนภาพที่นำมาประกอบในบล็อกเราหยิบมาจากเว็บ http://realsound.jp ซึ่งเป็นภาพเดียวกับที่ลงในนิตยสารค่ะ และในส่วนของเนื้อหา เราอาจไม่ได้แปลเป๊ะมาก พยายามแปลตามความเข้าใจของตัวเองและปรับภาษาให้อ่านง่ายที่สุด ถ้ามีข้อผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ ยอมรับเลยว่าแปลยากจริง (หรือจริงๆแล้วอาจเป็นเราที่โง่เอง ฮาาา)


10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้
 
AAA ทั้ง 7 คนได้ผ่านปีที่ 10 และมุ่งสู่เวทีต่อไปและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น ซึ่งในจุดเปลี่ยนนี้เราจะมองย้อนถึงงานในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง “10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้” จะเป็นการเล่าแบบเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของแต่ละคน ทั้งการพบกันกับดนตรี ออดิชั่น การฝึกซ้อมอันหนักหน่วง เดบิวต์ และจุดเปลี่ยนมากมายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลังจากนั้นกับการมองไปยังอนาคต รวมถึงความทุกข์ทรมานหรือความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปหนึ่งเดียว ซึ่งอยากให้ได้ฟังกันถึงความรู้สึกของสมาชิก AAA ที่สามารถเล่าให้ฟังได้ในเวลานี้
  

【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 02
Uno Misako

 
泣きながらステージに立つわけにはいかない
(ไม่สามารถขึ้นไปยืนบนเวทีได้หากยังร้องไห้)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**


---อุโนะซังตื่นตัวกับดนตรีตั้งแต่ตอนไหน?
  ฉันมีพี่ชายที่ห่างกัน 10 ปีและพี่สาวที่ห่างกัน 8 ปี ตั้งแต่จำความได้ก็ได้สัมผัสกับดนตรี ละคร และภาพยนตร์ที่เป็นที่นิยมในเวลานั้นค่ะ ดังนั้นเลยผสมและเติบโตมามากกว่าอายุจริง (หัวเราะ) เป็นช่วงเวลาที่มีเพลงฮิตออกมาทุกอาทิตย์ จริงๆแล้วร้องเพลงสากลเป็นหลักมาตั้งแต่เด็กค่ะ
 
---มีความคิดอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า
  เป็นความรู้สึกที่ว่า “อยากลองเข้าไปในโลกที่สดใสแบบนั้น” ซึ่งมันมากกว่าแค่นักร้อง แต่รวมไปถึงละครด้วยค่ะ มันมัวๆประมาณว่า “อยากเป็นดารา” ทั้งที่เป็นคนเข้ากับคนแปลกหน้าได้ยากและขี้อาย แต่ก็มีความหลงใหลและความมั่นใจที่ไม่มีเหตุผลอยู่ แบบว่าถ้าพยายามอย่างจริงจังอย่างไรก็จะได้เป็น! (หัวเราะ) กับกิจกรรมของโรงเรียนก็พยายามอย่างเต็มที่ด้วยความรู้สึกนี้ค่ะ
 
---เป็นคนประเภทที่ไม่ว่าอะไรก็จะพยายามทำให้ได้มาตั้งแต่สมัยเด็กเลยสินะ
  เรียกว่ามีความภูมิใจในตนเองสูงหรือเปล่านะ แค่คิดว่าอยากจะลบปมด้อยว่า “ตัวเองไม่ใช่แบบนั้น!” น่ะค่ะ ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้เห็นตัวฉันที่กำลังพยายาม มีความสับสนในใจว่าอยากเป็นแบบนี้ อยากให้คิดแบบนี้อยู่เสมอ แล้วก็พยายามเต็มที่จริงๆค่ะ
 
---ได้รับคุณวุฒิ “Kounin Fasting Counseling” (วุฒิที่ได้รับการรับรองจากการเข้าฟังบรรยายในสาขาวันละ 5 ชั่วโมงและส่งรายงาน) ในปี 2015 ด้วย แสดงว่าเป็นคนชอบเรียนนะ แล้วตอนแรกที่มาออดิชั่นล่ะ?
  ตอนประมาณ ป.5 ค่ะ สถานที่คือที่ Kokusai Forum ถึงจะทำได้ดีจนถึงการเต้นก็ตาม แต่ตื่นเต้นมากตอนคัดร้องเพลง จู่ๆก็จะให้ร้องในที่ที่มีคนหลายพันคนน่ะค่ะ คิดว่าจะผ่านแต่ก็ตกง่ายๆเลย (หัวเราะ) รู้สึกช็อกว่า “ตอนร้องเพลงที่บ้านกับร้องต่อหน้าคนอื่นนี่มันต่างกันขนาดนี้นี่เอง” มากกว่าจะเสียใจ แล้วก็เลยตัดใจไปรอบนึงค่ะ
 
---อย่างนี้นี่เอง จากนั้นก็กลับไปสู่ชีวิตนักเรียนทั่วไป
  เพราะโรงเรียนก็เข้มงวด ยังไงก็ต้องเรียนค่ะ เรียกได้ว่าประถม มัธยมต้น มัธยมปลายถูกชีวิตนักเรียนไล่ตาม เลยต้องขยันค่ะ แต่ว่าก็ไม่ได้แค่เรียนอย่างเดียว มีเที่ยวเล่นบ้าง แล้วก็ร้องเพลงวัยรุ่นค่ะ ถึงตอนนี้เองก็เป็นแบบนั้นก็เถอะ ถ้าทำเรื่องสนุกสนานล่ะก็จะรู้สึกอย่างแรงกล้ามากว่าต้องพยายามในส่วนนั้นน่ะค่ะ ประมาณว่าพยายามแล้วจะได้เที่ยวเล่นเป็นรางวัล
 
---แล้วจากตรงนั้นมาเกี่ยวข้องกับ AAA ได้อย่างไร
  กระทั่งในชีวิตนักเรียนที่แสนเข้มงวดก็อยากทำเรื่องเท่ๆอยู่ ฉันเลยเริ่มเรียนการเต้นฮิปฮอปตั้งแต่สมัยมัธยมต้นค่ะ พอมีเรื่องแบบนั้น เพื่อนก็เลยมาชวนไปออดิชั่นของ avex ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนตอนม. 4 จากนั้นก็เริ่มจมอยู่กับวันเวลาที่ต้องฝึกซ้อมค่ะ ไม่ได้รู้สึกว่า “จะได้เดบิวต์!” เพราะอยู่โตเกียวอยู่แล้ว ฉันโชคดีเพราะเหมือนกับว่า “แหม ก็ได้อันดับต้นๆ งั้นเข้าฝึกก็ได้นะ” ในระหว่างที่เข้าฝึกไปเรื่อยๆก็ได้รับการประเมิน และบอกว่า “จะทำวงผสมชายหญิง จะเข้าร่วมด้วยไหม?” น่ะค่ะ
 
---ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นอย่างไร
  ตอนแรกก็ตกใจและคิดว่าห้ามหนีจากโอกาสนี้ไป ท่ามกลางเพื่อนมัธยมปลายที่กำลังอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำงานเพื่อมุ่งสู่อาชีพ ตัวฉันเองที่ทุ่มเทให้กับการฝึกไม่มีทางเลือกอื่น และเพราะการร้องเพลงและเต้นไปกับสมาชิกก็สนุกด้วยค่ะ
 
---ตอนที่ตั้งวง จำได้ไหมว่าคุยอะไรกับสมาชิกบ้าง?
  ตอนที่เรารวมกันแล้วมีความรู้สึกว่า “ในที่สุดก็มาถึงจุดเริ่มต้น” เพราะทุกคนได้ตัดสินใจแล้วน่ะค่ะ การไล่ตามความฝันอย่างสุดกำลังเนี่ย ไม่ว่าอย่างไรก็มีความรู้สึกที่ว่า “ถ้าไม่เป็นจริงขึ้นมาจะทำอย่างไรดี” อยู่ด้วยเสมอ ดังนั้นจึงกังวลมากค่ะ ทุกคนก็คงมีความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน แบบว่า ก่อนอื่นถ้าจะเดบิวต์ได้ เราก็ต้องรวมกลุ่มกันไม่ใช่หรือ
 
---เดบิวต์แบบถูกคาดหวังอย่างใหญ่หลวงเหมือนกับมีหลุมอากาศใหญ่ๆอยู่ในฉาก รู้สึกกดดันหรือเปล่า
  เป็นคนที่ไม่มีความกดดันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ เลยไม่รู้สึกอะไร (หัวเราะ) คือรู้สึกว่าจู่ๆก็ได้รับแต่งานใหญ่ ต้องจัดการกับมันให้ดี
 
---แตกต่างกับ “โลกที่แสนสดใส” ที่เคยฝันใฝ่ตั้งแต่เด็กไปสักหน่อย
  ต่างสุดๆเลยค่ะ (หัวเราะ) แน่นอนว่ามีเรื่องสนุกมากมายอย่างการได้ร้องเพลงใหม่ ใส่ชุดน่ารักๆขึ้นไปยืนบนเวทีก็จริง แต่ความกังวลมันเยอะกว่ามากเลยค่ะ แต่ว่า จะให้เห็นใบหน้าแบบนั้นไม่ได้ เพราะไม่สามารถขึ้นไปยืนบนเวทีได้หากยังร้องไห้ค่ะ ว่าจริงๆแล้วฉันต้องพยายามเต็มที่ แล้วก็ค่อนข้างจะหนักหนา ถึงจะดีใจมากที่ได้เดบิวต์ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะดีใจแค่เพียงอย่างเดียวนะคะ มันมีความไม่สบายใจใหญ่หลวงมากกว่าความกดดันว่า “ต้องทำแบบนี้ให้มากขึ้น!” ช่วง 1-2 ปีแรกนี่ก็อย่างไรเสียฉันก็พยายามมาได้เพราะคิดว่า “สักวันหนึ่ง วันที่จะสนุกกับมันได้จะมาถึง” ค่ะ (หัวเราะ)
 
---ตามจริงแล้ว เมื่อไหร่กันที่ความรู้สึกแบบนั้นเปลี่ยนไป
  น่าจะช่วงปีที่ 5 ค่ะ เป็นช่วงที่มองตัวเองได้อย่างใจเย็นที่สุด พอลองคิดดู จนถึงตอนนี้ ที่คิดว่า “ฉันอยากทำแบบนี้ให้มากขึ้นอีก” “ทำไมถึงทำไม่ได้?” ทั้งหมดคือตัวเองค่ะ ดังนั้น เมื่อมองรอบข้างมากขึ้นจึงคิดกับสมาชิกคนอื่นๆได้ว่า “อยากจะทำแบบนี้และคอยสนับสนุนให้มากขึ้น”  กับสตาฟฟ์เองก็ มีความรู้สึกขอบคุณว่า “เพราะคนคนนี้ ถึงได้ทำงานได้” เมื่อทำเช่นนั้นแล้วจึงได้ยินเสียงของแฟนๆชัดขึ้นค่ะ พอทำแบบนั้นฉันก็รู้สึกว่าสามารถรับเอาทุกสิ่ง ทั้งตัวเองที่วาดหวังไว้ สิ่งที่ตัวเองทำได้ ความต้องการของแฟนๆ และส่วนที่รอบข้างให้การยอมรับเอาไว้ได้ค่ะ

 
---คิดว่าสมาชิกคนอื่นก็มีความขัดแย้งแบบเดียวกันบ้างไหม
  ฉันคงไม่รู้หรอกค่ะว่าสมาชิกคนอื่นทุกข์ใจกันขนาดไหน คิดว่าน่าจะมีช่วงเวลาที่ขัดแย้งมากมาย การมีความรู้สึกต่อสิ่งสิ่งหนึ่งแบบเดียวกันเนี่ย ขนาดพี่น้องกันยังยากเลยใช่ไหมคะ แต่ว่า ที่แน่ๆคือทุกคนพยายามค่ะ ตัวฉันที่จริงแล้วเป็นประเภทต้องฝึกฝนถึงจะทำได้ดี ก็เลยมีบางเวลาที่อิจฉาสมาชิกที่มีความสามารถค่ะ (หัวเราะ)
 
---เมื่อรวมกับเหตุผลเหล่านั้นแล้ว ผลงานที่เป็นจุดเปลี่ยนคืออะไร อย่างเช่น เพลงที่เป็นสาเหตุให้วงเกิดการเปลี่ยนแปลง
  เพลงที่ทำให้วงเปลี่ยนแปลงคือ “Koioto to Amazora” ค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เพลงนี้มีคนชอบเยอะมากจริงๆ และถูกดึงมาด้วยพลังนั้นยิ่งกว่าการที่ AAA เปลี่ยนแปลงไปเสียอีกค่ะ (เพลงนี้) ไม่ใช่เพลงที่ยากและทุกคนสามารถสนุกด้วยกันในคาราโอเกะได้ PV ก็ไม่ได้ประดิษฐ์ประดอยมาก ด้วยพลังของเนื้อร้องและทำนองเพลงทำให้ได้รับการยอมรับจากคนมากมาย
 
---หมายความว่า ตัวผลงานสามารถไปได้ดีด้วยตัวของมันเอง
  ใช่แล้วค่ะ เพราะเพลงนี้ทำให้สมาชิกเชื่อมั่นในตนเองได้มากขึ้นและพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมาได้น่ะค่ะ แน่นอนว่าถึงแม้การสร้าง(ผลงาน)แบบไม่ประณีประนอมกันว่าอย่างนั้นไม่มี อย่างนี้ไม่มีจะไม่เปลี่ยนไปก็ตามที
 
---อย่างนี้นี่เอง แล้วมีผลงานที่ทำให้ตัวอุโนะซังเองเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า
  อืม ยังจำทุกอย่างได้ทั้งเรื่องอัดเสียง ไลฟ์ที่แสนลำบาก ความรู้สึกหลากหลายนอกเหนือจากงานนะคะ เรียกว่าประวัติของตัวเองเหมือนกับสารบัญน่ะค่ะ เพราะอย่างนั้นถึงได้ยาก ถ้าจะให้ยกตัวอย่างถึงเพลงเมื่อเร็วๆนี้ก็คงเป็น “sayonara no Mae ni” (2014) ล่ะมั้งคะ พอพ้นจาก “Koioto” มา คิดว่าเพลงนี้สามารถแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ ส่วนเพลงก็รู้สึกว่าไม่ได้ยึดติดกับตัวเองค่ะ
 
---เหมือนถูกปลดปล่อยจากอะไรสักอย่าง
  ใช่แล้วค่ะ จนถึงตอนนั้น ฉันมีอุดมคติอยู่ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วก็มีในส่วนของการร้องเพลงที่ปล่อยไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ยืดหยุ่นและทุกข์ใจว่า “อยากจะร้องแบบนี้ แต่ร้องไม่ได้” น่ะค่ะ แต่ว่า “Koioto” ที่ “ขึ้นอยู่กับเพลง” นั้นทำให้นึกได้ว่า ถ้านี่คือผลงานที่ดีก็ไม่ต้องทุ่มกำลังลงไปก็ได้ค่ะ
 
---ดังนั้นเมื่อจำวิธีการผ่อนคลายได้แล้ว ก็เลยนำมาประยุกต์ใช้กับเพลงอื่นด้วยสินะ
  เป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ รู้สึกว่าขอบเขตของการแสดงออกมันกว้างขึ้นมากทีเดียว ได้ค้นพบว่า “ฉันก็ออกเสียงแบบนี้ได้นะ” ได้รู้ว่าอายุและประสบการณ์ช่วยเพิ่มสีสันให้เสียงได้และสนุกขึ้นค่ะ
 
---แล้วใน AAA นั้นมีส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ้างไหม
  เรียกได้ว่าสภาพการณ์ตอนนี้ไม่มีสมาชิกสักคนที่พอใจจากหัวใจค่ะ เพราะมีความรู้สึกถึงอันตรายอยู่เสมอ คิดว่าสิ่งที่เหมือนคลื่นอย่างความไม่แน่นอนและความรู้สึกรวดเร็วของในการทำเพลงในยุคสมัยนี้ นั้น แต่ละคนได้ตัดสินลงไปแน่นอนแล้วไม่ใช่หรืออย่างไรน่ะค่ะ ท่ามกลางคลื่นมากมาย ทุกครั้งที่เมื่อสมาชิกและสตาฟฟ์มารวมตัวปรึกษากัน จะไม่สามารถรอบรับได้เลยค่ะ เพราะเหมือนกับว่าถ้าคลื่นมา ใครสักคนจะหนี ใครสักคนจะรับไว้… แล้วข้ามผ่านมาได้อย่างเป็นธรรมชาติน่ะค่ะ แม้จะรวมเอาสมาชิกที่นิสัยแตกต่างกันไว้ขนาดนี้ก็ตาม เพราะเรามีความรู้สึกที่เหมือนกัน คือความรู้สึกขอบคุณต่อคนที่คอยสนับสนุน ความรับผิดชอบที่จะต้องส่งมอบผลงานดีๆค่ะ
 
---เคยคิดถึงบทบาทหรือตำแหน่งของตัวเองใน AAA ที่เป็นแบบนั้นไหม
  แบบว่าถ้าเป็นรูปธรรมสุดๆ พอพูดถึงบทบาทแล้วจะเป็นคนนำบทสนทนากับทุกคน ส่งต่อ อ่านคอมเม้นต์ประมาณนั้นค่ะ (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกับว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะเป็นคนที่ดูเอาจริงเอาจังหรือเปล่านะ
 
---น่าสนใจ นะ ในเวลาพักก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็น “หัวหน้าชั้น” หรอกหรือ
  ไม่ใช่เลยค่ะ เวลาพักก็ตามใจตัวเองจริงๆ โดนพูดบ่อยๆว่า “พูดช้า” (หัวเราะ) ถ้าในวงก็เอาจริงเอาจังค่ะ
 
---ผ่านมา 10 ปีแล้ว ตัวตนของ AAA เป็นอย่างไรในสายตาของอุโนะซัง
  ตอนนี้เป็น “สถานที่ที่สบายใจที่จะกลับมา” ค่ะ แต่ว่า ตอนเดบิวต์เคยคิดว่า “เมื่อไหร่จะจบสักทีนะ” แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่า “เลือนลาง” ค่ะ การที่วงที่มีตั้ง 7 คนได้เก้าอี้ที่มีอยู่น้อยในโลกดนตรีนี้มามันลำบากไม่ใช่หรือคะ
 
---นั่นสินะ ถ้าเป็นศิลปินเดี่ยวอาจแตกต่างออกไป แต่การที่วง 7 คนอยู่มา 10 ปีนี้ถือว่าสุดยอดเลย
  ขอบคุณค่ะ ฉันคิดว่าดีแล้วที่ได้ทำ AAA ในยุคสมัยนี้ เพราะมีทั้งชายและหญิงเลยแสดงได้มาก เพอร์ฟอแมนซ์ก็ลึกซึ้งขึ้นด้วย
 
---แฟนเองก็ขยายออกไปด้วย สุดท้ายนี้ อะไรคือจุดมุ่งหมายสำหรับมุ่งไปสู่ 10 ปีต่อไป
  อย่างแรกคือทุกคนยังแข็งแรงดีค่ะ (หัวเราะ) เพราะเป็นเรื่องยากที่จะยังแข็งแรงทั้งจิตใจและร่างกายตลอด 10 ปี และอยากจะดูดีตามอายุค่ะ แม้แต่ในฐานะ AAA หรือในฐานะส่วนตัวก็ตาม อยากจะให้เห็นว่าใจเย็นและเปล่งประกายค่ะ เลยต้องพยายามทุกวันเพื่อให้เป็นเช่นนั้น
 
---ที่ว่าพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายนี่คือสิ่งที่คู่กับบุคลิกของอุโนะซังมาตั้งแต่สมัยนักเรียนเลยนะ
  นั่นสินะคะ เป็นการทำงานแบบที่ทุกวันได้พบเจอกับผู้คนมากมาย ผลงานมากมายหรือเปล่า และให้ความสำคัญกับอะไรหรือเปล่า พอทุกสิ่งนั้นมันสัมพันธ์กันก็อาจบ่มเพาะบางสิ่งขึ้นมาได้ค่ะ
 
---อย่างนั้นแล้วเมื่อคิดถึง 10 ปีให้หลังที่กำลังมุ่งไปแล้ว รู้สึกตื่นเต้นไหม
  ตื่นเต้นค่ะ! พอทำงานเรื่อยมาแล้วก็ได้หลายสิ่งเลยล่ะค่ะ การยิ่งขัดเกลาตัวเองในสภาพแวดล้อมที่ได้รับความเมตตานี้ เป็นงานที่เติมเต็มจริงๆค่ะ เพราะนั่นคือความสุข วันหยุดก็เลยไม่พบใครและอยู่คนเดียวบ่อยๆค่ะ (หัวเราะ) การตระหนักได้ว่า “อา นี่คือชีวิตของตัวเองนะ” ได้ก่อนอายุ 30 เนี่ยเป็นความสุขจริงๆค่ะ ตลอดมาฉันอาจไปไม่ถึง “ตัวเองในอุดมคติ” ก็จริง แต่ในเวลาที่เข้าใกล้สิ่งนั้นก็ทำให้ฉันอยากสร้างโอกาสที่มองเห็นได้อย่างเรียบร้อยซึ่งรวมถึงกิจกรรมเดี่ยวด้วยค่ะ
 

Post a Comment

0 Comments