[TRANS] Hirano Sho 10000 words Long Interview (Myojo July 2022)

 

     สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับหมื่นอักษรครั้งสุดท้ายในซีรีย์แล้วนะคะ ทำตามที่สัญญากับตัวเองเอาไว้ครบเรียบร้อยแล้วว่าจะแปลให้ครบทั้ง 5 คนภายในเดือนพฤษภาคมก่อนที่น้องโช คิชิคุง และคุณจินจะออกจากวงไป ยอมรับว่าตอนนี้เองก็ยังทำใจไม่ได้ค่ะ ตั้งแต่ประกาศเป็นต้นมาก็ยังทำใจไม่ได้เลยสักวัน แต่ในเมื่อสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะแปลว่าจะทำก็ต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย ยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีกำลังใจแปลคอนเทนต์ของคิงปุริอีกหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ

     สำหรับของน้องโชนี่คิดว่าหลายคนน่าจะเคยอ่านกันไปแล้ว (เป็นอันที่เห็นคนอื่นแปลเยอะมากที่สุดเลย) แต่ในเมื่อแปลของทั้งสี่คนมาแล้วจะไม่แปลของน้องโชให้ครบก็คงไม่ได้ ถือซะว่าเราแปลเก็บไว้เป็นที่ระลึกให้ครบทุกคนก็แล้วกันนะคะ


     สำหรับรูปภาพที่ลงในบล็อก เราใช้เป็นรูปเซ็ตซิงเกิล We are young / Life goes on ซิงเกิลล่าสุดของคิงปุริ เหมือนเดิม และในส่วนของบทสัมภาษณ์ก็มาจากเว็บไซต์ของทางเมียวโจที่ลงบทสัมภาษณ์นี้ให้อ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และขอเคลมเหมือนเดิมเช่นเคยว่าเราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


 10000 words Long Interview 


 สมัยผมเป็นJr. 

 ฉบับ King & Prince 👑 

 ครั้งที่ 5 


 หากไม่มีวันเวลาใน Jr. ก็คงไม่มีผมในเวลานี้ 
 เพราะไม่มีประสบการณ์ใดที่ไร้ค่าเลยสักสิ่ง 

 ❤️ 平野紫耀 ❤️ 

ฮิราโนะ โช

เกิดวันที่ 29 มกราคม 1997 บ้านเกิดไอจิ เลือดกรุ๊ป O ความสูง 171 ซม.
เข้าจอนห์นี่ส์เดือนกุมภาพันธ์ 2012
CD เดบิวต์ในฐานะ King & Prince เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2018


ฮิราโนะ โช ผู้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลือกได้ว่าจะอยู่โตเกียวหรือคันไซ
และได้เริ่มกิจกรรมในฐานะคันไซ Jr.
เหตุผลคือ “เพราะอยากลองดูว่าตัวเองจะไปได้ถึงขนาดไหน”
ซึ่งนั่นคือตั๋วไปสู่การเดบิวต์ที่พยายามคว้ามาอย่างเต็มที่
แต่ว่าเรื่องราวยังไม่จบ
เวลานี้ที่กำลังจะต้อนรับวันเดบิวต์ครั้งที่ 5 นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริง



  ไม่ชอบการเต้นต่อหน้าคนอื่นเลยร้องไห้หนัก  


──คนสุดท้ายในฉบับ King & Prince นี้ตั้งใจให้เป็นฮิราโนะคุงเลย

❤️ ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ใช่คนใช้ชีวิตมาอย่างเข้มข้นอะไรขนาดนั้นเลยกังวลว่าจะพูดได้ถึง 10000 อักษรหรือเปล่าครับ

──คิดว่าใช้ชีวิตมาอย่างเข้มข้นพอเลยนะ เราจะเริ่มจากการถามเรื่องในอดีตก่อน สมัยเด็กเคยร่างกายอ่อนแอนี่นะ?

❤️ ใช่แล้วครับ หัวใจไม่ดีต้องผ่าตัดใหญ่ หมอเลยห้ามเล่นกีฬาหนักๆ น่ะครับ

──แต่ก็ซนด้วยไม่ใช่เหรอ?

❤️ ครับ กระโดดลงมาจากที่สูงจนกระดูกหัก คิดจะเอาชนะเสาโทรเลขเลยต่อยจนกระดูกหัก ถ้ามองจากมุมของพ่อแม่แล้วน่าจะต้องดูแลกันหนักเลยครับ แล้วเห็นว่าเป็นคนอยากรู้อยากเห็นมาก เห็นอะไรอยู่ตรงหน้าก็หยิบเข้าปากหมดด้วยครับ เคยกลืนเหรียญหนึ่งเยนเข้าไปด้วย แม่เลยรีบพาไปโรงพยาบาล จากนั้นก็เอาเหรียญออกมาอีก 4 เหรียญรวมเป็น 5 เยน รู้สึกเหมือนได้กำไรเลยครับ อ๊ะ แต่ว่าเขียนเอาไว้ด้วยนะครับว่าห้ามกลืนเหรียญหนึ่งเยนเด็ดขาด เด็กดีห้ามเลียนแบบ

──อะ อืม งั้นที่โรงเรียนก็อยู่ในตำแหน่งเด็กหัวโจกด้วยสิ?

❤️ กลับกันเลยครับ เป็นคนเข้ากับคนแปลกหน้าได้ยากมากเลยไม่เคยเข้าไปทักคนอื่นด้วยตัวเองแล้วรอให้คนอื่นเข้ามาทักก่อนครับ สมัยประถมย้ายโรงเรียน 3 รอบเพราะงานของพ่อแม่น่ะครับเลยอาจจะได้อิทธิพลจากตรงนั้นมา

──แล้วเริ่มเรียนเต้นเมื่อไหร่?

❤️ ประมาณ ป.2 ล่ะมั้ง ถูกแนะนำมาเลยไปทดลองเรียนเต้นดูน่ะครับ แล้วครูคนนั้นเขาเป็นคนที่ชมหนักมากเลยรู้สึกสนุก แล้วผมเองก็บ้ายอน่ะครับ เพราะงั้นเลยบอกกับแม่ว่า “อยากเรียน!”  แต่จำได้ว่าไปเรียนครั้งแรกแล้วเกลียดการเป็นจุดเด่นเพราะเข้ากับคนแปลกหน้ายาก ไม่อยากเต้นต่อหน้าคนอื่นมากจนร้องไห้หนัก แบบได้แค่นั่งกอดเข่าร้องไห้พลางนั่งดูเฉยๆ ครับ

──แต่ถึงอย่างนั้นอะไรที่ทำให้ทำต่อมาได้?

❤️ แม่บอกว่า “ตัวเองบอกเองว่าจะเรียนนะ” แล้วก็พาไปแบบเหมือนลากไป พอได้ยืดเหยียดร่างกายกับทุกคนในชั้นเรียนครั้งที่สองก็คิดว่า “อาจจะสนุกก็ได้” แล้วก็หลังจากนั้นครับที่ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น มหัศจรรย์มากครับ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วต้องบอกขอบคุณแม่จริงๆ ว่าขอบคุณนะที่พาผมไปถึงจะต้องฝืนใจ(ผม)ก็ตาม

──ปริมาณการซ้อมเต้นเยอะมากเลยนี่?

❤️ ตอนเยอะก็ซ้อมวันละ 7 ชั่วโมงครับ โดยนิสัยแล้วผมจะเบื่อง่าย แต่แค่การเต้นนี่แหละครับที่ไม่เบื่อ แม่เองก็ให้ความร่วมมือในการซ้อมด้วย ถึงจะอยู่นาโงย่าแต่ก็ค่อนข้างบ้านนอกเลยทำได้ คือแม่เขาจะไปจอดรถตรงที่จอดรถในสวนสาธารณะแล้วซ้อมเป็นเพื่อนผมโดยเปิดเพลงจากเครื่องเสียงรถให้ผมเต้นน่ะครับ

──แต่ตอน ป.4 กลับซ้อมมากเกินไปจนหัวเข่าแทบพัง

❤️ จำเป็นต้องผ่าตัดเลยครับ เคยเผลอได้ยินพ่อแม่คุยกันเสียงเบาตอนกลางดึกเรื่องว่าจะเตรียมเงินค่าผ่าตัดกันยังไงดีด้วย มีทั้งความรู้สึกขอโทษและความรู้สึกหลายอย่างปนกันไปจนร้องไห้อยู่คนเดียวครับ คิดว่าถ้าทำให้พ่อแม่เดือดร้อนงั้นไม่ต้องผ่าตัดก็ได้ แต่ก็โดนผลักดันให้ผ่าตัด ตอนนั้นถ้าไม่ได้ผ่าตัดคงเป็นไอดอลไม่ได้ รู้สึกขอบคุณเลยครับ มีแต่เรื่องที่ต้องขอบคุณแม่เขานะครับ เพราะได้รับการสอนในเรื่องความสำคัญของการทักทายและมารยาทติดตัว และต้องปกป้องเด็กผู้หญิงเอาไว้ให้ได้

──ขอบคุณเท่าไหร่ก็ไม่พอเนอะ

❤️ ครับ หลังจากนั้นแม่เขาก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและลำบากด้วย เลยมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า(แม่)มีเรื่องกลุ้มใจเยอะแล้วเลยอยากทำให้สบายใจแม้สักนิดก็ยังดีและมีอยากให้มีความสุข รู้สึกว่าเวลาที่ผมต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตจะมีข้อที่ว่าอยากให้แม่มีความสุขเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของการตัดสินใจด้วยครับ


  ตอนนี้คันไซจอห์นนี่ส์ Jr. ก็ยังเป็นสถานที่อันแสนสำคัญ  


──เรื่องที่ได้เข้าจอห์นนี่ส์นี่ไม่ใช่จากการออดิชั่นสินะ?

❤️ ใช่แล้วครับ ตอนสมัยม.3 ผมไปโตเกียวเพราะเข้าค่ายของโรงเรียนสอนเต้นน่ะครับ แล้วครูในตอนนั้นรู้จักกับจอห์นนี่ซัง ผมไม่ทราบรายละเอียดปลีกย่อยนะครับ แต่ก็ได้เจอกับจอห์นนี่ซัง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องวงการบันเทิงเท่าไหร่แต่รู้ว่าเป็นคนของสังกัดที่พวก SMAP อยู่ก็เลยตื่นเต้นครับ แล้วหลังจากนั้นหลายเดือน จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากจอห์นนี่ซังที่กำลังนั่งชินกันเซ็นอยู่ ว่า “ตอนนี้กำลังจะไปดูคอนเสิร์ตของ Sexy Zone ที่โอซาก้า YOU ก็มาดูด้วยสิ ใกล้ถึงนาโงย่าแล้ว ขึ้นชินกันเซ็นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

──กะทันหันเลยนะ แล้วคอนเสิร์ตที่ได้ดูครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง?

❤️ ไม่ได้ดูหรอกครับ จู่ๆ ก็โดนบอกว่า “YOU ไปขึ้นเลย!” แล้วให้ขึ้นแสดงกะทันหันเลย คอนเสิร์ตเริ่มแล้วพักหนึ่งก็ยังพูดว่า “ไปขึ้นซะ!” อยู่ ผมเลยขึ้นเวทีไปทั้งชุดตัวเองอย่างนั้นเลย ดนตรีของจอห์นนี่เนี่ยเรียกได้ว่าไม่ใช่ดนตรีแบบที่ผมเคยเรียนเต้นมาจนถึงตอนนั้นเลยให้ความรู้สึกต่างวัฒนธรรมสุดๆ เหมือนคนต่างชาติที่จู่ๆ ก็เข้ามาในร้านซูชิน่ะครับ

──เป็นประสบการณที่ดีไหม?

❤️ ยับเยินเลยครับ ผมแสดงไปสองรอบ รอบกลางคืนผมขึ้นเวทีช้าจนโดนสตาฟฟ์ดุเอาว่า “ขึ้นเพลง『With you』ต่อไปด้วยนะ” น่ะครับ แต่ว่าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ในตอนนั้นผมแทบไม่มีความรู้เรื่องจอห์นนี่ส์เลยเลยไม่รู้ว่าเพลงไหน ถึงดูตารางความคืบหน้าก็ไม่รู้จักเพลงที่เล่นอยู่ตอนนั้นอยู่ดี แล้วผมเป็นคนเข้ากับคนแปลกหน้าได้ยากเลยถามกับสตาฟฟ์และ Jr. คนอื่นไม่ได้ด้วย

──หลังจากนั้นก็อยู่ในสถานะที่สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่กับจอห์นนี่ส์ Jr. ฝั่งไหนระหว่างโตเกียวกับคันไซ เหตุผลที่เลือกคันไซคืออะไร?

❤️ เพราะโดนบอกมาว่าโตเกียวโอกาสก็มาก แถมยังได้เข้าบริษัทมาเพราะจอห์นนี่ซังเลือกโดยตรงไม่ได้ออดิชั่น ฝั่งที่โอกาสได้เดบิวต์มีมากกว่าน่าจะเป็นทางโตเกียวน่ะครับ ในทางตรงกันข้าม ฝั่งคันไซนั้นจะขัดเกลาความสามารถด้านการเต้นและการร้องเพลง และห้ามพลาดโอกาสที่มีเพียงแค่น้อยนิดจริงๆ ไป เอาง่ายๆ คือผมเลือกคันไซเพราะอยากทดสอบดูว่าความสามารถของตัวเองจะไปได้ถึงไหนกันน่ะครับ แล้วก็มีที่โดนดุในคอนเสิร์ต Sexy Zone ตอนแรกด้วยล่ะมั้ง เลยอาจจะอยากคว้าโอกาสที่โอซาก้าซึ่งมีประสบการณ์ที่เจ็บใจเอาไว้ก็เป็นได้ครับ

──ถ้าอยู่ในสถานะเดียวกัน คนที่เลือกโตเกียวก็น่าจะมีเยอะก็จริง แต่เป็นการตัดสินใจที่สมเป็นฮิราโนะคุงดีนะ ถึงจะบอกให้เลือกอีกครั้งได้นะก็คงเลือกคันไซอยู่ดีใช่ไหม?

❤️ เปล่า เลือกโตเกียว… ล้อเล่นครับ (หัวเราะ) น่าจะเลือกคันไซอีกแน่ครับ ถึงจะลำบากกว่าที่คาดไว้ก็เถอะครับ เพราะไม่ใช่แค่ร้องและเต้นเท่านั้นแต่ต้องพยายามกับด้านตลกด้วย พอผมที่เป็นคนเข้ากับคนแปลกหน้ายากมาทำแล้วงานตลกมันลำบากจริงๆ ครับ แต่คันไซ Jr. เองก็ช่วยสร้างพื้นฐานของตัวผมและตอนนี้ก็ยังเป็นสถานที่อันแสนสำคัญอยู่ ได้ผ่านช่วงเวลาที่มีความทรงจำแจ่มชัดมากมายจริงๆ และได้ช่วยสอนถึงความยินดีเมื่อผู้ชมยิ้มให้ด้วยครับ ทั้งยังสอนให้รู้จักความสนุกเมื่อมีเพื่อนสักคนและได้แสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ด้วย ถ้าไม่มีวันเวลาในคันไซจอห์นนี่ส์ Jr. คงไม่มีตัวผมในตอนนี้แน่นอนครับ ดังนั้นตอนนี้ก็ยังรู้สึกขอบคุณอยู่ครับ

──สำหรับฮิราโนะคุงแล้ว คันไซจอห์นนี่ส์ Jr. คือสถานที่อันแสนสำคัญจนถึงตอนนี้เลยสินะ

❤️ ครับ เพราะตอนแรกเริ่มจากสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยน่ะครับ (คิริยามะ) อาคิโตะคุงกับคามิยามะ (โทโมฮิโระ) คุงเลยช่วยสอนทุกอย่างเรื่องการทักทายและมารยาทกับสตาฟฟ์ให้ตั้งแต่หนึ่งเลยครับ

──ที่ได้เจอกับนางาเสะ (เร็น) คุงก็ตอนนี้สินะ ความประทับใจตอนเจอกันครั้งแรกเป็นยังไง?

❤️ แบบว่าดูเป็นคนดำๆ แล้วก็เก้งก้างพิกล แต่ก็สนิทกันทันทีเลย

──พอเข้าบริษัทแล้วก็ได้เข้า Kin Kan ร่วมกับพวกมุไค (โคจิ) คุงทันทีเลยนะ

❤️ โคจิบอกกับผมที่เข้ากับคนแปลกหน้ายากว่า “พูดด้วยภาษาธรรมดาพอนะ” เพื่อจะได้สนิทกับผมน่ะครับ พอเข้า Kin Kan แล้วก็สนิทกันมากๆ ทันทีเลย

──Kin Kan ย่อมาจาก “King of คันไซ” สินะ รู้สึกแปลกๆ สำหรับคนที่มีบ้านเกิดอยู่นาโงย่าบ้างไหม?

❤️ ไม่มีนะครับ เพราะโคจิที่เป็นลีดเดอร์ก็มีบ้านเกิดอยู่ที่นารานี่ครับ

──นาราก็คันไซนะ

❤️ เอ๋! จริงเหรอครับ!

──หลังจากนั้นรายการ “Maido! Jaani” ที่ทำกับ Naniwa Ouji ของนางาเสะคุงก็เริ่มขึ้น และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจนถูกเรียกว่า “นานิคิน” ด้วย

❤️ การทำกิจกรรมกัน 6 คนมันสนุกมากเลยครับ แล้วเคยคิดว่าด้วยว่าถ้าช่วงเวลาสนุกสนานแบบนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ ตลอดไปเลยก็คงดี แต่ผมต้องย้ายไปที่โตเกียวเพราะเรื่องงานของพ่อแม่ เลยบอกไปว่า “ไม่เอาเด็ดขาด จะอยู่ที่นาโงย่า” ครับ แต่ทำสัญญากับอพาร์ทเมนต์ที่โตเกียวเสร็จแล้วก็ต้องไป ถึงจะตัดสินใจไปครั้งหนึ่งแล้วว่าจะไปโตเกียว แต่จังหวะนั้นแม่ป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาลที่บ้านเกิดเลยไม่มีเหตุผลให้ไปโตเกียวแล้วและอยากอยู่ข้างๆ แม่ด้วยครับ แต่ตัดสินใจไปแล้วครั้งหนึ่งว่าจะไปโตเกียว งานที่โตเกียวก็กำหนดมาแล้ว เลยมัวแต่อิดออดไม่อยากไปจนถึงวันก่อนหน้าที่จะต้องนั่งชินกันเซ็นไปโตเกียวเลยครับ สุดท้ายแล้วแม่ก็คอยสนับสนุนบอกว่าไปคนเดียวมันอันตรายเลยให้คุณยายตามมาอยู่ด้วยกัน

──มีความเห็นแรงๆ ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่จากคันไซมาด้วยนี่นะ

❤️ จะเรียกว่ายังไงดี แบบว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้นเพราะจอห์นนี่ซังบอกว่า “ถ้ามาโตเกียวแล้วจะกลับไปไม่ได้แล้วนะ” เพราะเข้าใจความรู้สึกว่า “เพราะความสะดวกของพ่อแม่น่ะ ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจกัน” กับความรู้สึกของแฟนๆ ที่อยากให้เดบิวต์กันด้วยสมาชิกของนานิคิน และความรู้สึกของพวกคนที่ชอบพวกเรา Kin Kan ผมคิดว่าไม่ว่าคำพูดแบบไหนที่ผมพูดออกไปก็จะต้องไปทำร้ายใครเข้าสักคนแน่ เลยเป็นช่วงที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคันไซเลยน่ะครับ

──เคยได้คุยกับมุไคคุงหลังจากได้เดบิวต์ในฐานะ Snow Man แล้วด้วยนี่นะ

❤️ ถึงจะบอกว่าเป็นความสะดวกของพ่อแม่ แต่คนที่หยุดทำกิจกรรมของ Kin Kan และนานิคินไปก็คือผม เลยมีความรู้สึกขอโทษมาตลอด พอโคจิได้เดบิวต์เลยดีใจและมีบางส่วนที่โล่งใจด้วยครับ


  พวกเราจะเดบิวต์ได้หรือเปล่าครับ?  


──พอเริ่มทำกิจกรรมที่โตเกียว กิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับ (ทาคาฮาชิ) ไคโตะคุงก็เพิ่มขึ้นมาสินะ

❤️ แบบมีภาพจำว่าเป็นเด็กที่สุดๆ ไปเลยครับ ตอนแรกน่ะ เคี้ยวเยลลี่ไปซ้อมเต้นไปงี้ แล้วตอนเจอกันครั้งแรกก็เข้ามาคุยอะไรเยอะแยะด้วยเสียงสูงๆ ครับ เพิ่งเคยเจอคนที่รุกเข้าหาขนาดนั้นเป็นครั้งแรก

──นางาเสะคุงเล่าเรื่องช่วงที่กำลังเข้าวัยรุ่นให้ฟังว่าตอนเริ่มทำกิจกรรมที่โตเกียวเลยมีช่วงที่ความสัมพันธ์กับนางาเสะคุงไม่ราบรื่นด้วย

❤️ อื-ม ความรู้สึกในตอนนั้นของผมแบบเผลอรู้สึกไปว่าเร็นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยน่ะครับ จำนวนครั้งที่พูดคุยก็ลดลงไปช่วงนึง ตอนนี้คุยกันปกติแล้วก็จริงแต่ตอนนั้นตัวผมเองจะเผลอคิดไปว่า “อะไรของหมอนี่เนี่ย” ผมเองน่าจะยังเด็กด้วยครับ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ต้องขอบคุณไคโตะที่พยายามรักษาความสนิทของพวกเราเอาไว้อย่างสุดชีวิต ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วก็ทำอะไรที่ดูเป็นเด็กๆ ลงไปจริงๆ พอมาตอนนี้แล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นความรู้สึกเป็นคู่แข่งกันน่ะครับ

──ความรู้สึกเป็นคู่แข่งเหรอ?

❤️ เรียกได้ว่าตอนนี้ต่างยอมรับซึ่งกันและกันแล้วก็ได้ ตอนนั้นผมคิดหนักเลยนะครับว่าทำไมความสัมพันธ์ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ คือคิดว่าความรู้สึกเป็นคู่แข่งเนี่ยถ้าใช้ผิดก็จะแย่ไปเลย ถ้ามีความรู้สึกเป็นคู่แข่งโดยไม่ยอมรับในตัวอีกฝ่ายจะหงุดหงิดและความสัมพันธ์ก็จะไม่ราบรื่นด้วย แต่พอยอมรับซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่แล้ว ความรู้สึกเป็นคู่แข่งเองก็จะช่วยให้ทั้งคู่เติบโตและเปิดใจได้ด้วย

──อย่างนี้นี่เอง และในเดือนเมษายน ปี 2015 ก็ได้ยืนอยู่บนเวทีที่ Theatre Creation กับพวกคิชิ (ยูตะ) คุงและจินกูจิ (ยูตะ) คุง

❤️ เราสนิทกันอยู่แล้วด้วย เลยดีใจที่ได้แสดงร่วมกันกับทั้ง 3 คนที่เป็นท็อปของ Jr. ครับ และคิดว่าจะได้แสดงกับสมาชิกกลุ่มนี้แค่ช่วง Theatre Creation นี้เท่านั้นครับ แต่ว่าใน “SUMMER STATION” หลังจากนั้นก็ได้แสดงกับสมาชิกกลุ่มเดิม แถมยังได้ชื่อวงมาด้วยว่า Mr.King vs Mr.Prince เป็นช่วงเวลาที่ผสมกันระหว่างความคาดหวังว่าอาจจะได้เดบิวต์แบบนี้เลยก็ได้กับความกังวลว่าจะสักวันหนึ่งอาจจะต้องแยกจากกันก็ได้ครับ

──น่าเสียดายที่ลางสังหรณ์ที่กังวลนั้นตรงเผง แล้ว Mr.KING กับ Prince ก็แยกกันทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่นะ

❤️ ที่จริงแล้วผมไม่ชอบเลยครับ เพราะผมมีสิ่งที่เหมือนความภูมิใจการทำกิจกรรมใน Mr.King vs Mr.Prince อยู่น่ะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละวงต่างแข่งขันกันให้สูงขึ้นไปได้ เป็นภาพวงแบบที่ผมเคยวาดฝันเอาไว้เลยน่ะ มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เรา 6 คนทำกันมาไม่ได้รับการยอมรับหรือเปล่านะด้วยครับ

──แล้วเหตุผลที่คิดจะไปคุยเรื่องเดบิวต์กับประธานโดยตรงคืออะไร?

❤️ ผมคิดขึ้นมาตอนวันเกิดปีนั้นครับ ว่า “อายุ 20 แล้วนะ” เพื่อนที่เคยสนิทกันตอนอยู่บ้านเกิดก็ติดต่อมาว่าทำอะไรอยู่ เพื่อนสนิทที่มีความฝันอยากเป็นนักดับเพลิงก็ได้เป็นนักดับเพลิงแล้วจริงๆ รู้สึกว่าเพื่อนที่เคยบ้าบอด้วยกันขนาดนั้นพยายามมากเลย มีเพื่อนที่แต่งงานและมีลูกแล้วด้วย เพื่อนพ้องที่เคยบอกเล่าความฝันต่างทำฝันให้เป็นจริงได้แล้ว แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่กัน จะเคยชินกับการเป็น Jr. ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังเป็น Jr. ต่อไปก็มองไม่เห็นอนาคตแน่นอน ความรู้สึกที่อยากให้พ่อแม่วางใจมันยิ่งใหญ่มากน่ะครับ เพราะเขาเหนื่อยยากมาตลอด ดังนั้นเลยรู้สึกว่าจะหยุดยืนต่อไปไม่ได้ ต้องตัดสินใจ

──ตอนจากคันไซมาโตเกียวก็เหมือนกัน ท่าทีที่มองไปข้างหน้ามากกว่าจะหันกลับมามองอดีตนั่นดูเหมือนว่ากำลังเร่งรีบใช้ชีวิตอยู่นะ

❤️ อาจเพราะมีที่ไหนสักแห่งที่คิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้อยู่ก็ได้ครับ สมัยเด็กเคยผ่าตัด 2 ครั้ง อาการป่วยหนักของแม่ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และวันพรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ ผมเคยมีประสบการณ์เพื่อนที่เคยเที่ยวเล่นมาด้วยกันจนถึงเมื่อวานเสียไปน่ะครับ เลยรู้สึกว่าได้เจอความตายของญาติและคนใกล้ตัวมากกว่าคนในวัยผมมาครับ ดังนั้นนะครับ ผมเลยอาจจะมีความรู้สึกว่าคนเราเนี่ยตายได้ง่ายกว่าที่คิดอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นจึงมีความคิดที่ว่าไม่อยากผลัดสิ่งที่ทำในตอนนี้ได้ออกไปน่ะครับ

──แล้วเพราะอะไรถึงอยากเดบิวต์ด้วยกันกับ Prince ไม่ใช่แค่ 3 คน?

❤️ ตอนแรกผมไปคุยกับประธานมาคนเดียวน่ะครับว่า “พวกเราจะเดบิวต์ได้ไหมครับ?” แล้วตอนนั้น(ประธาน)ก็บอกมาว่า “ลองคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะโซโล่เดบิวต์ดูด้วยไหม?” ซึ่งผมเองคิดถึงเรื่องนั้นไม่ออกเลย เพราะในใจผมรู้สึกว่าตอนอยู่กัน 6 คนนั้นเสียงตอบรับดีที่สุด เลยคิดว่าถ้าจะเดบิวต์ก็ต้องเดบิวต์กับ Prince ด้วย

──แล้วก็เอาเรื่องที่จะไปคุยโดยตรงนั้นไปปรึกษากับสมาชิกคนอื่น

❤️ คิดว่าน่าจะมีสมาชิกที่คิดว่ายังเร็วไปอยู่ครับ บอกว่าให้รอจนกว่าจังหวะจะเวียนมาถึงในสักวันดีกว่า แต่ผมก็เกลี้ยกล่อมไปว่า “ที่ว่าสักวันน่ะเมื่อไหร่? พวกเราน่ะมีแค่ตอนนี้เท่านั้นนะ” แต่เป็นชีวิตของแต่ละคนเลยบังคับกันไม่ได้ เลยให้ไปคิดหนึ่งคืนแล้วหลังจากนั้นก็มาคุยกันอีกหลายครั้งและตัดสินใจว่าจะไปคุยโดยตรงครับ แต่ตอนนี้พอนึกถึงแล้วการคุยโดยตรงคือนรกครับ ประธานที่จะฟิวส์ขาดกับผมที่พูดเป็นพัลวัน น่ากลัวมากเลยครับ

──คิดว่าอะไรคือไม้ตายที่ทำให้การพูดคุยโดยตรงสำเร็จ?

❤️ ได้ยินประธานย้ำมาว่า “ไม่มีศิลปินที่เดบิวต์แล้วเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้หรอกนะ เป็นได้รึเปล่า?” แล้วรู้สึกจะตอบไปว่า “จะเป็นที่หนึ่งกับ 6 คนนี้ครับ” ครับ

──ประกาศไว้แล้วนี่เอง

❤️ คือมีบรรยากาศที่ถ้าพูดว่า “ผมว่าเป็นที่สองหรือที่สามก็ยังโอเคนะครับ”น่าจะฟิวส์ขาดจังๆ แน่น่ะครับ แต่จริงๆ แล้วในตัวผมมั่นใจอยู่ ความเป็นหนึ่งเดียวในสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่พวกเรา 6 คนเล่นมันฝังอยู่ในร่างมาตลอดล่ะมั้ง แรงกระตุ้นนั้นไม่ว่า Mr.KING สามคนจะเล่นคอนเสิร์ตสักเท่าไหร่ก็ไม่มีวันทำได้น่ะครับ ดังนั้นเลยตอบออกไปได้ทันทีว่า “ได้ครับ”

──จากนั้นก็ได้เดบิวต์จริงๆ

❤️ ยังจำที่ดีใจร่วมกับสมาชิกได้อยู่เลยครับว่า “จากนี้ไปพวกเราจะเป็นยังไงกันต่อไป?” “นี่เราทำเรื่องสุดยอดได้สำเร็จกันแล้วไม่ใช่เหรอ?” แบบคิดว่า “ไม่ใช่ว่าพยายามกับอะไรสักอย่าง แต่พยายามมันทุกอย่าง”

──เดบิวต์แล้วคุณแม่เองก็วางใจแล้วสิ?

❤️ รู้สึกว่าทำให้ความฝันของพ่อแม่เป็นจริงขึ้นมาได้แล้วอย่างหนึ่ง เพราะจนถึงตอนนั้นผมไม่เคยเอ่ยปากเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมของ Jr. หรือเรื่องเดบิวต์เลยน่ะครับ แต่ก็ได้ยินจากคนรอบข้างมาว่าเขาเล่าด้วยท่าทางเป็นห่วงว่า “จะเดบิวต์ได้หรือเปล่านะ?”  หลังจากจบการแถลงข่าวเดบิวต์ก็ได้เมลสั้นๆ มาว่า “ดีแล้วนะ” ด้วยครับ

──ดีแล้วจริงๆ นะ

❤️ ครับ ผมอยากให้เขาพึ่งพาผมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมก็ยังเอาแต่พึ่งพาเขาอยู่เลยครับ ตอนนี้อยู่ในช่วงโควิดระบาดเลยไม่ได้เจอกันง่ายๆ ก็จะมีส่งจดหมายมาหาเป็นครั้งคราวครับ เขียนมาด้วยข้อความเดิมๆ ว่า “อย่าฝืนเกินไปนะ ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ก็กลับมาได้เสมอ” พออ่านแล้วจะอยากกลับขึ้นมาจริงๆ เลยเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของชั้นไม่ให้อยู่ในสายตานอกจากเวลาคับขันจริงๆ เท่านั้นครับ


  เจ็บใจตลอดที่ไม่เคยได้ที่ 1 เลยสักครั้ง  


──ฝากข้อความถึงสมาชิกหน่อย เริ่มที่ไคโตะคุง

❤️ ไคโตะเป็นคนที่คิดถึงวงมากที่สุดเสมอ มีช่วงหนึ่งที่มาบ้านผมทุกคืนแล้วคุยกันว่า “วงนี้ทำแบบนี้น่าจะดีกว่า” ดูวีดีโอซ้อมด้วยกัน หาข้อเสียของทั้งสองคนแล้วก็เขียนจุดที่ต้องระวังออกมาบ่อยเลย

──ไคโตะคุงบอกว่า สมัยก่อนตอนที่โดนคนเมาเข้ามาด่า ในจังหวะที่ฮิราโนะคุงมาปกป้อง เขาเลยยอมรับฮิราโนะคุงเป็นพี่ชาย

❤️ จำได้ครับ ที่คนเมาเข้ามาด่าเนี่ยอาจเป็นเรื่องยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมในตอนนั้นแล้วยังไงๆ ก็ไม่ดีครับ เพราะไม่อยากให้ไคโตะที่สำคัญต้องเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ไคโตะพึ่งพาได้มากๆ แล้วผมไม่ต้องปกป้องแล้วก็ได้ อ๊ะ แต่ยังมีที่เป็นน้องชาย แบบยังมีความเป็นน้องเล็กสุดหลงเหลืออยู่ ของขวัญวันเกิดปีนี้ผมได้โปรเจ็กต์เตอร์มาน่ะครับ ก่อนจะให้ของขวัญมาเล็กน้อยเจ้าตัวตั้งใจเข้ามาถามง่ายๆ ว่า “จะว่าไป ที่บ้านโชเนี่ยมีเธียเตอร์รูมไหม?” เลยคิดว่าอ๊ะ เรื่องของขวัญวันเกิดล่ะมั้ง เลยบอกไปว่า “โทษที ไม่มีที่ฉายเลย เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งติดทีวีใหม่ที่ผนังห้องนอนไปน่ะ” จะได้ไม่คิดซื้อให้น่ะครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาโปรเจ็กต์เตอร์มาให้แล้วบอกว่า “สุขสันต์วันเกิด นี่ของขวัญวันเกิด!” ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า (หัวเราะ) แต่จุดนั้นก็สมเป็นไคโตะแล้วก็น่ารักดีแหละครับ ตอนนี้เลยกำลังลำบากใจว่าจะย้ายทีวีในห้องนอนไปไว้ไหนดีครับ

──ไคโตะคุงบอกว่าตอนนี้ก็ยังคิดว่าอยู่ว่า “เรื่องเต้นไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!” แล้วก็คิดว่าฮิราโนะคุงน่าจะคิดเหมือนกัน

❤️ ฮ่าๆๆๆ จะเรียกว่าพรหมลิขิตจริงๆ หรือไงดี แบบคิดว่าได้เจอกันในจังหวะที่ดีน่ะครับ ตอนเจอกันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าไคโตะเต้นเก่ง เพียงแต่ตอนนั้นแค่ผมจะทำตัวให้ชินกับโตเกียวก็เต็มที่แล้วล่ะมั้ง มีแต่เรื่องที่ต้องทำเลยไม่มีเวลามาโฟกัสแค่กับเรื่องเต้นเลยน่ะครับ แน่นอนว่าถ้าเราได้เจอกันในสภาพที่พร้อมกว่านี้สักหน่อยอาจจะมีความรู้สึกเหมือนพูดให้เว่อร์ๆ ได้ว่า “ทั้งที่ฉันเคยเป็นที่หนึ่งเรื่องเต้นแท้ๆ ปั๊ดโธ่!” ขึ้นมาก็ได้ ตะกี้เองผมก็พูดไปแล้วว่าหากยอมรับได้อย่างเต็มที่แล้ว ความเป็นคู่แข่งก็จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นน่ะครับ ผมน่ะคิดว่าหมอนั่นเต้นเก่งที่สุดในจอห์นนี่ส์เลยครับ แล้วก็ภูมิใจตรงนั้นด้วย ว่า “ที่หนึ่งในจอห์นนี่ส์เลยนะ! เจ๋งไปเลยใช่มะ!? มีคนที่เป็นที่หนึ่งในจอห์นนี่ส์อยู่ในวงเราด้วยนะ!”

──แบบนั้นก็น่าภูมิใจนะ

❤️ ครับ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไคโตะเท่านั้น พูดถึงสมาชิกทุกคนได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงเร็นผมว่าเป็นคนที่พยายามที่สุดในจอห์นนี่ส์เลยครับ แน่นอนว่าถึงผมจะไม่ได้รู้จักจอห์นนี่ส์ทั้งหมดก็ตาม

──เรื่องเร็นคุงเนี่ย สมาชิกทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยนะว่าเป็นคนที่พยายามอยู่ในเงามืด

❤️ สุดท้ายแล้วคนแบบนั้นก็จะพัฒนาไปแบบไร้ขีดจำกัด แบบรู้สึกว่าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพลง “NANANA” ที่เล่นในโดมทัวร์ครั้งนี้ผมกับไคโตะเป็นคนคิดท่าเต้นครับ เรียกว่าระดับความยากของการเต้นสูงสุดในประวัติกาลของวงเลย เป็นระดับที่ผมหรือไคโตะหรือนักเต้นที่มีประสบการณ์ตั้งแต่ก่อนเข้าบริษัทมาเองก็ยังว่ายาก ตอนสอนท่าเร็นจะพูดประมาณว่า “ไม่ไหวอะ ยาก” ครับ แต่ก็รู้ว่าแบ่งเวลามาซ้อมเท่าที่จะทำได้ทั้งที่ยุ่งกับงานแสดงถึงขั้นนั้น ถึงจะไม่ได้พูดออกมาเป็นคำพูด แต่พอมองเร็นแล้วสิ่งที่คิดก็คือ… จะพูดว่าไงดีนะ จะบอกว่า “เก่งมาก” “ขอบคุณนะ” ก็ต่างไปหน่อย “ภูมิใจมาก” ครับ ผมภูมิใจที่ได้อยู่วงเดียวกับเร็นครับ

──ก็คือให้การยอมรับจริงๆ นะ

❤️ ครับ ตอนผมแสดงละครของตัวเองก็จะคิดว่า “เพื่อ King & Prince นะ” แล้วก็พยายามได้ครับ การพยายามกับงานเดี่ยวเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่ไอดอลเป็นงานหลัก เลยจะตระหนักเอาไว้เสมอว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ของวงเนี่ยแหละที่เป็นงานหลัก ถ้าพูดให้สุดโต่งก็คือผมคิดว่าถ้าให้ความสำคัญกับงานเดี่ยวแล้วกิจกรรมในวงกลายเป็นภาระล่ะก็ ทำแค่กิจกรรมโซโล่ไปเลยดีกว่าไหมน่ะครับ ตราบใดที่ยังเป็นสมาชิกอยู่ก็ต้องไม่ให้เพอร์ฟอร์แมนซ์ของวงตกลง เขาพยายามเต็มที่เพื่อวงมาตลอดครับ แน่นอนว่าผมเองก็เต็มที่เหมือนกัน เพราะมีความตั้งใจที่จะเข้าใกล้ King & Prince ในอุดมคติแม้สักนิดเหมือนกันน่ะครับ ถึงจะอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเราที่ต่อสู้ด้วยกันมาตลอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ง่ายๆ ก็ตาม แต่ถ้าจะให้ยกขึ้นมาเป็นคำพูดก็คงประมาณ เคารพ ภูมิใจ ล่ะมั้ง

──ต่อไปจินกูจิคุง

❤️ ถ้าจินมาปรึกษาว่า “คิดว่าเหมาะจะทำงานอะไรนอกเหนือจากไอดอล?” น่าจะแนะนำเลขานุการครับ ไม่ใช่ว่าเหมาะกับงานเบื้องหลังนะ แต่คือเพราะมองเห็นภาพรวมวงและวางแผนความคืบหน้าอะไรต่อมิอะไรได้สุดยอด ผมเองถ้าเห็นว่ามีอะไรแปลกๆ ในงานที่แม้เพียงเล็กน้อยก็จะพูดกับอีกฝ่ายทันทีว่า “มันแปลกไม่ใช่เหรอครับ!” โดยไม่สนว่าจะเป็นใครน่ะครับ และในเวลาแบบนั้นคนที่หยุดความบ้าคลั่งของผมและทำให้ใจเย็นลงได้พักหนึ่งก็คือจินครับ แล้วให้คำแนะนำว่าว่า “ฉันเองก็ว่ามันแปลก แต่อาจตั้งใจหรือมีเหตุผลที่เป็นแบบนี้ก็ได้” แน่นอนว่าแค่ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จะทำยังไงถึงจะทำให้คนรอบข้างยอมรับความเห็นของพวกเราได้ ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี แบบเหมือนมองไปข้างหน้าเสมอ การวางแผนสุดยอด ผมว่าเป็นชายที่เหมาะกับงานเลขานุการมากที่สุดในจอห์นนี่ส์ครับ

──เข้าใจละ

❤️ เพราะรู้สึกกระทั่งความน่ากลัวเล็กๆ น้อยๆ น่ะครับ พูดเรื่องของขวัญวันเกิดอีกแล้ว คือปีนี้จินให้กระเป๋าใบเล็กเป็นของขวัญครับ เวลาจะออกไปข้างนอกผมไม่อยากถือกระเป๋าใบใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้พูดแบบนั้นแต่เขาก็สังเกตเห็น ของขวัญเลยเลือกให้อย่างแม่นยำเพราะรู้ว่าอยากได้อะไรแม้จะไม่ได้พูดออกไปน่ะครับ อย่างเช่นมีถ้วยกระดาษราคาหนึ่งหมื่นเยนที่น่ารักมากๆ อยู่ใช่ไหมครับ ทั้งที่น่ารักมากๆ แต่จะให้ใช้เงินหมื่นเยนไปกับถ้วยกระดาษก็ไม่ได้เลยตัดใจใช่ไหมครับ แล้วก็ได้ของแบบนั้นมาเป็นของขวัญน่ะครับ แบบกลัวขึ้นมาซะแล้วว่า “เอ๊ะ!? ไม่ได้บอกเลยว่าอยากได้อันนี้แล้วทำไมถึงรู้ล่ะ?” ครับ (หัวเราะ)

──คิชิคุงเองก็เลือกของขวัญวันเกิดเป็นแจ็กเก็ตยีนส์ให้ แล้วฮิราโนะคุงดีใจมาก เลยพูดด้วยท่าทางดีใจว่า “ฉันเองก็เซนส์ดีเหมือนกันนะเนี่ย” ด้วยนะ

❤️ ได้มาครับ ดีใจครับ แต่ว่าเรื่องแจ็กเก็ตยีนส์ตัวนั้นผมเพิ่งจะซื้อเองไปน่ะครับ แค่ไม่รู้ว่ามันมีสีอื่นที่ต่างไปด้วย ตอนที่ผมพูดว่า “ถ้ามีสีนี้ก็อยากได้อันนั้นนะ!” ก็อยู่ข้างๆ พอดีน่ะครับ คิชิคุงน่ะ แล้วในจังหวะนั้นก็ทำหน้าเหมือนว่าได้ยินอะไรดีๆ เข้าแล้วแบบชัดเจนเลยครับ (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ

❤️ แน่นอนว่าการที่มีคิชิคุงอยู่ในวงด้วยก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเหมือนกัน ถึงในด้านเพอร์ฟอร์แมนซ์จะมีความเคยชินที่ติดมาก็เถอะครับ อย่างตอนเต้น พอขอให้แก้ว่า “ตรงนี้ทำแบบนี้นะ” ครั้งหรือสองครั้งน่ะยังได้อยู่นะครับ แต่พอครั้งที่สามไปก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม แต่ตรงส่วนนั้นเป็นเป็นเหตุผลที่ทำให้เป็นที่รักล่ะมั้ง ผมว่าเป็นคนที่มีความสามารถในด้านเป็นที่รักของผู้คนมากที่สุดในจอห์นนี่ส์เลยครับ

──ก็จริงนะ คิชิคุงเนี่ยมีภาพว่าเป็นที่รักจากผู้คนหลากหลายมาก

❤️ พอได้เจอกับคนที่เคยร่วมงานกับคิชิคุงแล้ว แทบจะทั้งหมดต้องบอกว่า “คิชิคุงเป็นคนดีจริงๆ นะ” เลยครับ ในเวลาแบบนั้นผมเองก็จะตอบกลับไปว่า “ครับ เป็นคนดีจริงๆ ครับ!” แล้วก็เริ่มสงครามอวยคิชิคุงกันในหลายๆ สถานที่เลยครับ (หัวเราะ)

──หมายความว่าอันดับหนึ่งของจอห์นนี่ส์ในหลากหลายด้านมารวมอยู่ใน King & Prince สินะ

❤️ ครับ แล้วก็พอพูดถึงใน MYOJO จะมีรางวัล Jr. ทุกปีใช่ไหมครับ ผมไม่เคยได้อันดับหนึ่งในด้าน “อยากให้เป็นคนรัก” เลยสักครั้งและเจ็บใจตลอดเลยครับ แต่ก็มีปีที่ King & Prince ครองอันดับสูงๆ กันหมดอยู่ใช่ไหมล่ะครับ ผมก็จะภูมิใจแล้วคิดว่า “นี่ไง พวกเราทุกคนอยู่ในนี้เลยนะ!” ซึ่งผลอันนั้นเป็นหนึ่งในที่มาของความมั่นใจที่พูดกับจอห์นนี่ซังอย่างเด็ดขาดได้ว่า ““จะเป็นที่หนึ่งกับ 6 คนนี้ครับ” ด้วยครับ


  อยากให้พูดได้อย่างภูมิใจว่า “เป็นแฟน”  


──วันวางจำหน่ายของฉบับที่จะตีพิมพ์สัมภาษณ์อันนี้คือวันที่ 20 พฤษภาคมนะ

❤️ สุดยอด! ใกล้กับวันครบรอบเดบิวต์เลยนี่ครับ! อยู่ในช่วงที่จะเข้าสู่ปีที่ 5 ของการเดบิวต์พอดีเลยนะครับ ขอพูดอะไรที่เหมือนแสดงเจตจำนงหน่อยได้ไหมครับ

──แน่นอน

❤️ พวกเรานั้นถูกจอห์นนี่ซังบอกมาตั้งแต่สมัยยังเป็น Jr. ว่า “ทำในสิ่งที่พวกเธอเองอยากทำซะ” และ “งานที่ทำให้ผู้คนมีความสุขคือไอดอลนะ” มาครับ พวกเรา King & Prince ผ่านมาแล้ว 4 ปีนับจากเดบิวต์ ได้ลองผิดลองถูกกันมาเพื่อจะได้ทำทั้งสองอย่างนั้นได้ครับ ซึ่งการทำทั้งสองอย่างนั้นมันยากมากๆ มีแฟนๆ ที่ชอบพวกผมในภาพที่เหมือนกับเจ้าชายเหมือนอย่างชื่อวง King & Prince และในทางกลับกันก็มีแฟนๆ ที่บอกว่าชอบในส่วนที่เป็นธรรมชาติด้วยเช่นกัน การจะทำให้ทั้งสองฝั่งพอใจนั้นยาก ยิ่งไปว่านั้นเมื่อมาคิดว่าสิ่งที่พวกเราอยากทำจริงๆ นั้นคืออะไรก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เมื่อหารือกันระหว่างสมาชิกเรื่อยๆ และมุ่งมั่นทำในสิ่งที่พวกเราอยากทำจริงๆ แล้วก็อยากให้ได้ยืดอกและบอกว่า “ฉันเป็นแฟนของ King & Prince” ครับ เพื่อการนั้น จึงต้องแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ทำให้คนที่ตอนนี้ยังไม่ใช่แฟนได้พูดว่า “คนพวกนี้สุดยอดไปเลยนี่นา” และพวกเราก็อยากเป็นคนที่ทำให้ทำให้ยืดอกพูดออกไปได้ว่า “ใช่แล้วล่ะ สุดยอดมากเลยนะ ฉันเป็นแฟนของคนพวกนั้นแหละ”

──อย่างนี้นี่เอง

❤️ หากมีเรื่องอะไรสักเรื่องที่ทำให้ผมเสียใจตั้งแต่ผมเป็น Jr. มาจนถึงวันนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่บอกกับจอห์นนี่ซังเป็นคำพูดไม่ได้แล้วว่า “ตอนนี้จะทำให้แฟนๆ เหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเรามีความสุขให้ได้ครับ จะยิ้มตลอดไปครับ”  อยากให้จอห์นนี่ซังที่น่าจะคอยเฝ้ามองพวกเราอยู่วางใจด้วยการแสดงรอยยิ้มของแฟนๆ ให้ได้เห็นนะครับ

──นั่นสินะ

❤️ ในที่สุดก็เตรียมพร้อมที่จะเริ่มทำในสิ่งนั้นแล้ว สมัยที่เป็น Jr. ผมคิดมาตลอดเลยครับว่าการเดบิวต์คือจุดเริ่มต้น แต่ในระยะเวลา 4 ปีนี้เหมือนเป็นการเช็คสภาพในรอบอุ่นเครื่องก่อนลงแข่งรอบตัดสินของการแข่งรถที่มีการให้ลงวิ่งเตรียมความพร้อมเพื่อให้ยางอุ่นขึ้นและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ ตอนนี้ที่กำลังจะเริ่มปีที่ 5 รู้สึกว่าในที่สุดของจริงก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสำหรับพวกเรา ต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้ไอเดียมากมายที่พวกเราคิดกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราได้ลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนในที่สุดก็เริ่มรู้ขึ้นมาแล้ว ดังนั้นโปรดตั้งหน้าตั้งตารอดูพวกเราต่อจากนี้ไปด้วยนะครับ King & Prince ไม่ใช่ตัวตนที่อยู่ห่างไกล ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะไปรับคุณเสมอครับ พวกเราจะเป็นคนที่ทำให้ยืดอกพูดได้ว่าเป็นแฟนของ King & Prince ดังนั้นโปรดอย่าปล่อยมือกันไปนะครับ เราจะข้ามผ่านอุปสรรคมากมายไปด้วยกันและก้าวขึ้นบันไดไปด้วยกันนะครับ ผมอยากเห็นวิวอีกมายมายเลยครับ และไม่ว่าวิวใดก็อยากจะมองมันไปพร้อมๆ กับเทียร่าด้วย



สัมภาษณ์・เรียบเรียง / Mizuno Mitsuhiro


Post a Comment

0 Comments