[TRANS] Oda Sakura's 10th Anniversary Interview

 

     สวัสดีค่า กลับมาพบกับการแปลบทสัมภาษณ์สมาชิก Hello! Project กันอีกเช่นเคยนะคะ สำหรับคราวนี้เป็นสัมภาษณ์โอดะ ซากุระ สมาชิกมอร์นิ่ง มุสุเมะ รุ่น 11 ซึ่งเป็นเมนคนปัจจุบันของเราเองค่ะ พอดีกับที่ก่อนหน้านี้โอดะ (หรือที่เราชอบเรียกเองว่า อ้อย) เข้าวงมาแล้วครบ 10 ปี เลยถือโอกาสแปลบทสัมภาษณ์เดี่ยวที่ลงกับทาง non-no web ในช่วงปลายปีที่แล้วมาลงในวันเกิดครบรอบ 24 ปีด้วยซะเลย (ใช่แล้วค่ะ วันนี้ค่ะ!) หวังว่าอ่านกันแล้วจะรักในตัวของอ้อยกันมากขึ้นนะคะ

     สำหรับสัมภาษณ์ในคราวนี้ที่จริงแล้วในเว็บจะแยกเป็นครึ่งแรกและครึ่งหลังค่ะ แต่เราขี้เกียจแยกเป็น 2 อันเลยขอนำมารวมกันเป็นสัมภาษณ์ยาวๆ พาร์ทเดียวไปเลยเพื่อความง่ายในการอ่านและจัดหน้าของตัวเอง และในส่วนของคำโปรยข้างต้น เรานำเนื้อหาที่เขียนของทั้ง 2 พาร์ทมารวมกันและรีไรท์บางส่วนนะคะ

     ขอดิสเคลมเมอร์เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาว่าราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีความผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


  สัมภาษณ์ที่ระลึกเข้าวงครบ 10 ปีของโอดะ ซากุระ  

     ทาง non-no web ได้สัมภาษณ์โดยตรงกับโอดะ ซากุระซัง ที่เข้ามอร์นิ่ง มุสุเมะมาครบ 10 ปีในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ด้วยพลังเสียงอันเหนือชั้นจนถูกเรียกว่าเป็น "เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง" และการแสดงบนเวทีที่สมบูรณ์แบบจนไม่มีช่องโหว่ ทางเราได้สัมภาษณ์พิเศษขนาดยาวโดยเน้นในส่วนของจิตใจภายในของเธอซึ่งมีบุคลิกสงบนิ่งและเป็นผู้ที่คอยฉุดรั้งวงเรื่อยมา พร้อมกับความรู้สึกอัดแน่นที่มีต่อมอร์นิ่ง มุสุเมะและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นโลกในลักษณะที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย โดยในครึ่งแรกจะพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้หลังจากผ่านช่วงโควิดระบาดมา และเสน่ห์ของมอร์นิ่ง มุสุเมะในแบบใหม่ล่าสุด ส่วนในครึ่งหลังจะมาเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงหลายปีมานี้รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับเพลงที่รักด้วย


  "ความเปลี่ยนแปลง" ทั้งในด้านดีและด้านร้ายที่รู้สึกได้ในระหว่างทัวร์ฤดูใบไม้ร่วงในปัจจุบัน  

――การถ่ายทำในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

รู้สึกแปลกใหม่และดีใจมากค่ะ! เพราะปกติไม่ค่อยมีโอกาสได้ถ่ายคนเดียวในลักษณะนี้เท่าไหร่ ในบรรดาสมาชิก มีพวกเด็กๆ ที่พยายามทั้งการทำกิจกรรมในมอร์นิ่ง มุสุเมะ ควบคู่ไปกับงานพวกนิตยสาร แต่สำหรับฉันแล้ว ภาพจำบนเวทีน่าจะเข้มข้นกว่าสินะคะ ดังนั้นฉันว่าทุกคนเองก็น่าจะรู้สึกแปลกใหม่อย่างแน่นอนค่ะ และดีใจที่ได้ถ่ายภาพกับดอกไม้ที่ชอบมากด้วยค่ะ! การประกอบกันระหว่างชุดสีดำกับดอกไม้วิเศษมากค่ะ

――ในระหว่างการถ่าย เห็นบอกว่าไม่มีโอกาสได้ใส่สุดสีดำนอกจากบนเวทีเลย รบกวนช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดได้ไหม?

ค่ะ มอร์นิ่ง มุสุเมะ มีเพลงที่แข็งแรงและเท่อยู่เยอะ เลยได้ใส่ของสีดำๆ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ไว้ให้ใช้บนเวทีค่อนข้างเยอะค่ะ พอเปรียบเทียบกันแล้ว ชุดแนวชุดไปรเวทจะเป็นแนวสีสัน ไม่ค่อยมีแบบใส่ดำทั้งชุดละมั้งคะ บวกกับตัวฉันติดนิสัยตอนเลือกชุดใส่ปกติก็ยังคิดถึงวง เลยชอบใช้สีที่หลีกเลี่ยงว่า "เพราะเรามีตั้ง 13 คน เลิกใส่ชุดที่มีภาพจำดูหนักๆ จะดีกว่าไหมนะ" น่ะค่ะ

――คือเวลาส่วนตัวก็ไม่ใช่ชุดสีดำเลยหรือ?

ใช่แล้วค่ะ รู้สึกว่าด้วยอิมเมจของฉันควรใส่สีสว่างๆ มากกว่าด้วยค่ะ ส่วนพวกของที่ใส่ติดตัวมักก็เลือกของที่ใส่แล้วเข้ากับตัวเองมากกว่าของที่ชอบค่ะ แต่วันนี้ใส่สีดำแล้วมีคนบอกว่าเข้ามาก ฉันดีใจมากเลยค่ะ! ทรงผมก็ทำทรงแนวธรรมชาติที่ปกติแล้วไม่ทำ รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองดูแปลกใหม่ไปเลยค่ะ พอถ่ายเสร็จแล้วต้องลบออกก็เสียดายเลยขอให้ช่วยเหลือเมคอัพในส่วนที่เป็นพอยต์เอาไว้น่ะค่ะ

――ปัจจุบันอยู่ในระหว่างทัวร์ฤดูใบไม้ร่วง ช่วยเล่าเรื่องนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหม

จริงๆ แล้วคนที่มาดูน่าจะทราบกันอยู่แล้วว่าเซ็ตลิสต์ไม่มี MC จนถึงครึ่งนึงเลยค่ะ คือพอขึ้นเวทีปุ๊ปก็แสดงยาวๆ ไปครึ่งนึงเลย (หัวเราะ) ซึ่งในนั้นมีเมดเลย์รวมอยู่ด้วย วันแรกร่างกายเลย(เหนื่อย)หนักมากจริงๆ เพราะอัดเพลงสนุกๆ ที่ปกติแล้วจะใส่ไว้ในช่วงครึ่งหลังมาเต็มที่เลยน่ะค่ะ ไม่ใช่แค่ฉันนะคะ สมาชิกคนอื่นก็น่าจะอยู่ในสภาพ “ต่อจากนี้จะไหวเหรอเนี่ย…?” เหมือนกันค่ะ (หัวเราะ)

แต่น่าประหลาดใจที่พอแสดงไปรอบหนึ่งแล้วแสดงซ้ำอีกรอบหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ รู้สึกสนุกขึ้นมาค่ะ โอกาสได้เต้นเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้น้อยลงเพราะโควิดระบาด ในกรณีของฉันคือรู้สึกว่าช่วงนั้นทับซ้อนกับช่วงที่แรงกายผ่านช่วงพีคที่สุดในช่วงวัยและเริ่มลดน้อยถอยลงพอดีด้วย แต่เพราะอย่างนั้นถึงทำให้ฉันได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะในทางดีหรือทางร้าย และได้คิดว่าอยากจะพัฒนามากขึ้นไปยิ่งๆ กว่านี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ

――อยากทราบปฏิกิริยาของคนดูในเซ็ตลิสต์สุดโหดด้วย

ยังอยู่ในสภาพที่ต้องนั่งดูเรื่อยๆ และใส่แมสก์ส่งเสียงไม่ได้อยู่ แต่ความรู้สึดที่เดือดพล่านก็ถ่ายทอดมาอย่างเต็มที่ค่ะ อาจจะเผลอสปอยล์สักเล็กน้อยนะคะ คือเมดเลย์ในครั้งนี้ทำขึ้นจากบรรดาเพลงที่ระลึกทั้งหลายค่ะ  ขนาดในวันแรกคนที่ทื่อๆ ก็ยังรับรู้ได้ ในจังหวะที่เข้าเพลงที่ 2 ก็เห็นคนทำหน้าว่า “…สินะ!?” ด้วย ดีใจขึ้นมาเลยค่ะ

พวกเรามีสกิลการอ่านสีหน้าท่าทางของผู้ชมที่ใส่แมสก์อยู่จากการทำกิจกรรมในช่วงโควิดระบาดนะคะ! ถ้ากลับไปสู่สภาพที่ถอดแมสก์แล้วส่งเสียงได้เมื่อไหร่น่าจะยิ่งรับรู้ความรู้สึกของเหล่าแฟนๆ ง่ายเข้าไปใหญ่หรือเปล่าจนรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ (หัวเราะ)

――(หัวเราะ)  มองผู้ชมกันถึงขนาดนั้นเลยนะเนี่ย

ใช่ค่ะ ฉันดูตลอดเลย เพราะจำได้กระทั่งตำแหน่งจากตรงนี้เลยค่ะ (หัวเราะ) อาจจะพูดได้ว่าเป็นเพราะความสามารถที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มาจนถึงตอนนี้ด้วย คือฉันแค่สนใจในตัวแฟนๆ น่ะค่ะ


  เพราะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันถึงได้รับรู้ถึงความลำบากของสมาชิกใหม่  

――คราวนี้มีซากุระอิ ริโอะซัง สมาชิกใหม่เข้าร่วมทัวร์ด้วยเป็นครั้งแรกสินะ

ตอนแรกก็รู้สึกจริงๆ นะคะว่าจะทำยังไงดี สมาชิกเลยเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวกับซากุระอิหลายๆ เรื่องเลยค่ะ พวกเราจะซ้อมใหญ่ในสตูดิโอก่อนแสดงจริงตามการแสดงจริงหนึ่งรอบ ซ้อมที่สถานที่จัดงานจริงอีกหนึ่งรอบ ทั้งหมดรอบเดียวเลยค่ะ ซึ่งซากุระอิก็ขยับไม่ออกในระหว่างนั้นทั้งคู่เลย ทุกคนเลยมาร่วมด้วยช่วยกันคิดกับซากุระอิว่า “ทำยังไงกันดี!” กันอย่างจริงจังเลยน่ะค่ะ (หัวเราะ)

แต่ว่าพอเข้าสู่การแสดงจริงแล้วก็แสดงได้จนถึงตอนสุดท้ายโดยไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแม้แต่ครั้งเดียว เล่นเอาตกใจเลยค่ะ สมแล้วที่เป็นเด็กที่ถูกเลือกจากผู้มีคุณสมบัติมากมาย และรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่า นี่แหละมอร์นิ่ง มุสุเมะค่ะ

――สำหรับสมาชิกใหม่แล้วถือเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากเลยนะ เพราะโครงสร้างของไลฟ์โดยเฉพาะของมอร์นิ่ง มุสุเมะนี่ยากจริงๆ

ใช่แล้วค่ะ แถมไรรี่ (ซากุระอิ) ยังเป็นสมาชิกที่เข้ามาในช่วงโควิดระบาดด้วย จู่ๆ จะให้ขึ้นคอนเสิร์ตเดี่ยวจากตรงนั้นเลยนี่น่าจะลำบากมากเลยค่ะ

――ซากุระอิซังเป็นสมาชิกที่เข้ามาคนเดียวเหมือนกับโอดะซัง มีความรู้สึกอะไรบ้างไหม?

จี้จัง (โมริโตะ จิซากิ) ที่จบการศึกษาไปก่อนหน้านี้ก็เข้ามาคนเดียวแต่ถือเป็นเคสที่ค่อนข้างจะพิเศษ เลยรู้สึกว่าน่าจะมีแค่ตัวเองที่เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมที่ไรรี่เจออยู่ค่ะ ที่จริงแล้วก็บังเอิญเจอหลายสถานการณ์ที่คิดว่า “นั่นสินะ เป็นแบบนั้นสินะ” อยู่ด้วยค่ะ

――ช่วยบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านั้นให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?

สำหรับฉัน เหตุการณ์ที่รู้สีกว่า “ตัวเองก็เป็นแบบนี้เนอะ” มากที่สุดคือความยากของสภาพที่เรียกว่า “ไม่มีรุ่นเดียวกัน = ไม่มีคนให้เปรียบเทียบ” อย่างเช่นว่าถ้ามีรุ่นเดียวกันแล้วตัวเองทำไม่ได้ก็น่าจะร้อนรน แต่พอรอบข้างมีแต่รุ่นพี่แล้ว รุ่นพี่ทำได้ถือเป็นเรื่องปกติทำให้ความรู้สึกว่าตัวเองต้องรีบมันเลือนลางลงไปน่ะค่ะ แบบว่าจะเผลอคิดไปว่าตัวเองก็ทำได้เหมือนกันอะไรแบบนั้น

ดังนั้นจึงบอกไปตรงๆ เลยว่า “คนใหม่น่ะทำแบบนั้นไม่ได้นะ” เพราะตัวฉันเมื่อก่อนก็เคยเป็นแบบนั้นและปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รู้ว่าคนใหม่เองก็มีขั้นตอนของคนใหม่อยู่น่ะค่ะ แล้วก็มาเสียใจกับเรื่องนั้นทีหลัง เลยไม่อยากให้ไรรี่ต้องคิดแบบเดียวกัน

อาจมีความเห็นว่าการให้ลำบากนี่ก็เพื่อเจ้าตัวเองมากกว่า แต่ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องเสียเวลาค่ะ ปัญหาที่แก้ไขได้ก็อยากให้แก้ใขให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

――เพราะโอดะซังเข้ามาคนเดียวแล้วพยายามมาจนถึงตอนนี้เลยมีมุมมองแบบนี้สินะ

ขอบคุณค่ะ แต่ว่าฉันกลับรู้สึกว่าดีแล้วที่ได้เข้ามาคนเดียวนะคะ เพราะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่รุ่นพี่นี่แหละที่ทำให้ฉันพยายามมาได้เรื่อยๆ โดยไม่หยิ่งทะนง คนเราเนี่ยพอพอใจแล้วก็จะหยุดใช่ไหมคะ เป็นแบบนั้นเลยค่ะ แต่ก็มีเคสที่ความโหดร้ายเหล่านั้นกลายเป็นภาระที่ต้องแบกรับเอาไว้ด้วยเหมือนกัน และสุดท้ายเคสของตัวเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกันค่ะ เพราะงั้นเลยอยากมองรุ่นน้องในมุมมองที่เท่าเทียมกัน ไม่กดดัน และคอยซัพพอร์ตค่ะ

――มอร์นิ่ง มุสุเมะในตอนนี้มีภาพที่ดูใส่ใจสมาชิกใหม่มากเลยนะ

ใช่แล้วค่ะ แน่นอนว่าทิศทางในฐานะวง การเคลื่อนที่ในการเต้นฟอร์เมชั่นแดนซ์ถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อก่อนในเพลงเองก็เป็นค่ะ ที่แต่ละคนจะมีบรรยากาศว่าฉันต้องเด่น! แต่มอร์นิ่ง มุสุเมะในระยะหลังๆ นี่ทุกคนจะอยากรวมกันเป็นหนึ่งและสร้างความประทับใจร่วมกันน่ะค่ะ ดังนั้นถ้าไม่พูดคุยกันระหว่างสมาชิกให้ดีและไม่รวมใจกันเป็นหนึ่งแล้วก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่ชี้จุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็นก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ดันนั้นถึงได้คุยกันเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติค่ะ


  สาเหตุที่ทำให้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างและความสำคัญของการแสดงออกและการรวมเป็นหนึ่ง  

――หลายปีมานี้มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวในฐานะวง แต่ก็มีภาพจำที่รายคนที่โดดเด่นด้วย มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า?

ว้าว ดีใจมากเลยค่ะที่คิดแบบนั้น! ผลจากการทุ่มเทรับฟอร์เมชั่นแดนซ์เข้ามาให้ “เป็นหนึ่งเดียว” กัน ทำให้มีช่วงเวลาที่เจอกับอุปสรรคอยู่เหมือนกัน แต่พอข้ามผ่านมาได้แล้วก็เป็นอย่างในปัจจุบันค่ะ

――ช่วยเล่าเรื่องนั้นให้ฟังอย่างละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม?

ค่ะ ก่อนหน้านี้พักใหญ่เกิดบรรยากาศว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ น่าจะประมาณปี 2015-2016 ได้ค่ะ มิจิชิเงะ ซายูมิซัง ลีดเดอร์ตลอดกาลที่อยู่ในวงมาเกือบ 12 ปีจะจบการศึกษา เป็นช่วงที่สมาชิกที่อยู่มานานที่สุดคือรุ่น 9 และเพิ่งจะทำมอร์นิ่ง มุสุเมะในรูปแบบใหม่มาได้ 3-4 ปีด้วยค่ะ ตอนนั้นทุกคนพยายามทำในสิ่งที่ถูกบอกมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ผลคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวหายไปค่ะ

ตอนนั้นก็ออกแอ็คชั่นไปตรงๆ ว่า “ไม่” แล้วนะคะ คนที่พูดคือซาโต้ มาซากิซัง รุ่น 10 ที่จบการศึกษาไปปีที่แล้วนั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) คือระหว่างกลุ่มกับส่วนตัวเนี่ย มุมมองมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยใช่ไหมคะ เพราะงั้นในตอนนั้นเลยเกิดความสับสนขึ้นในหมู่สมาชิก และมีส่วนที่ไม่ลงรอยกันอยู่ด้วย แต่พอเวลาผ่านไปก็เหลืออยู่แต่ส่วนดีๆ ของทั้งสองอย่างและกลายมาเป็นรูปแบบในปัจจุบันน่ะค่ะ รู้สึกว่าสมาชิกในระยะหลังๆ นี่จะทำกิจกรรมโดยคำนึงถึงว่าการแสดงความเป็นแต่ละคนออกมาและการรวมกันเป็นหนึ่งนั้นเป็นคนละส่วนกันค่ะ

――มอร์นิ่ง มุสุเมะในตอนนี้มีภาพที่ว่าสนิทกันดีโดยไม่แบ่งแยกรุ่นพี่รุ่นน้อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วยสินะ

รู้สึกว่าความรักระหว่างสมาชิกด้วยกันนั้นมันลึกล้ำขึ้นทุกปีค่ะ และนั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลจากฟุคุมุระ (มิสึกิ) ซังที่เป็นลีดเดอร์อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ จะบอกว่าฟุคุมุระซังคือทุกสิ่งของมอร์นิ่ง มุสุเมะในตอนนี้ก็ไม่เกินจริงค่ะ! เป็นคนที่มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่ต่อวงขนาดนั้นเลยละค่ะ ที่เล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อตะกี้ก็ครอบคลุมอยู่ในช่วงที่ฟุคุมุระซังกำลังลำบากอยู่ด้วยค่ะ เข้าวงมาแล้วอีกหลายปีต่อมาต้องมารับสืบทอดตำแหน่งลีดเดอร์จากมิจิชิเงะซังน่าจะลำบากมากจริงๆ ค่ะ แต่เดิมแล้วภาพลีดเดอร์ของมิจิชิเงะซังกับฟุคุมุระซังก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยด้วย

――เอกลักษณ์และส่วนที่สุดยอดของลีดเดอร์ฟุคุมุระที่โอดะซังคิดคือตรงส่วนไหน?

มิจิชิเงะซังเป็นประเภทที่ช่วยผลักดันทั้งวงได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ฟุคุมุระซังจะเป็นประเภททุกคนมาพยายามด้วยกันเถอะโดยไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ฉันนับถือในส่วนที่มีความยืดหยุ่นและราบเรียบ รับเอาสิ่งต่างๆ มาปรับได้ด้วยมุมมองที่กว้างไกลค่ะ พวกเรารุ่นน้องเองก็รู้สึกสบายใจมากด้วยเพราะช่วยสร้างบรรยากาศที่อ่อนนุ่มด้วยการบอกว่า “ไม่เกี่ยวหรอกนะว่าเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง” ออกมาด้วยตัวของลีดเดอร์เองค่ะ

จะเรียกว่าวงได้รับอิทธิพลมาจากตัวฟุคุมุระซัง หรือจะให้พูดอีกอย่างคือมีความหมายว่าสมาชิกทุกคนรักฟุคุมุระซังกันถึงขั้นนั้นเลยด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากมีใครคิดจะทำให้ฟุคุมุระซังต้องเจ็บปวด ฉันจะไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอนค่ะ! ถึงจะดูพูดสุดโต่งไปสักหน่อย แต่นี่คือสิ่งที่ฉันคิดออกมาจากใจจริงค่ะ (หัวเราะ)

――เป็นความสัมพันธ์ที่วิเศษมากเลย และรู้สึกว่าบรรดาสมาชิกที่เป็นรุ่นน้องของโอดะซังเองก็แสดงบุคลิกของความเป็นรุ่นพี่ออกมาน่าดูเหมือนกัน

ใช่แล้วค่ะ รุ่น 12 ที่เข้ามาหลังจากฉันก็ด้วย พอรู้สึกตัวก็พัฒนาไวกว่าพวกรุ่นพี่เสียอีก…! และรุ่น 12 ก็พัฒนาไปมากจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะ (มาคิโนะ) มาเรียจังเนี่ยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเลยค่ะ เธอเป็นคนพิถีพิถันกับทุกอย่างมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ดีมากนะคะ แต่นั่นก็เป็นส่วนที่ทำให้ตัวเองลำบากอยู่พอสมควรด้วย แต่ระยะหลังๆ นี่ยืดหยุ่นมากขึ้นโดยรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ได้ค่ะ

ยังไงดี มาเรียจังที่ให้ความสำคัญกับตัวเองมากๆ นั้นก็ให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญของคนอื่นเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็ส่งอิทธิพลที่ดีให้แก่รุ่น 12 ทั้งรุ่น อาคาเนะจิน (ฮากะ อาคาเนะ) หรือโนะนากะ (มิกิ) ก็เป็นแบบนั้นขึ้นมาอย่างเต็มที่เลยค่ะ พอได้เห็นรุ่น 12 ที่เปล่งประกายอย่างสง่างามแบบนั้นแล้วฉันเองก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ

――มีเรื่องที่ได้รับอิทธิพลจากรุ่นน้องบ้างไหม?

มีเยอะแยะเลยค่ะ! ฉันยังไม่ลืมความรู้สึกตอนที่เข้าวง เลยมีความรู้สึกอย่างมองคนอื่นแล้วอิจฉาหรือเกิดริษยาขึ้นมา ตอนนี้คนที่ทำให้ฉันรู้สีกแบบนั้นได้ก็คือ (คิตากาวะ) ริโอะจัง รุ่น 15 ค่ะ ร้องเพลงก็เก่ง แสดงความเท่ออกมาได้ และพยายามเต็มที่ด้วย แต่ก็ยังมีพละกำลังที่มีเฉพาะคนใหม่ที่จะแสดงออกมาได้อยู่ด้วย เป็นเด็กที่สุดยอดมากค่ะ

――แต่ความอิจฉาแบบนั้นหมายความถึงความรู้สึกในแง่บวกใช่ไหม?

ใช่แล้วค่ะ! ฉันค่อนข้างจะชอบดูแลเอาใจใส่คนอื่น เลยชอบสอนเกี่ยวกับเทคนิคของตัวเองให้รุ่นน้องอย่างละเอียดน่ะค่ะ ซึ่งในตอนนั้นริโอะจังจะตั้งใจเผชิญหน้าอย่างเต็มที่เลยค่ะ ทั้งยังมีความชาญฉลาดที่เลือกเก็บและดูดซับสิ่งที่จำเป็นกับตัวเองไว้ไม่ใช่แค่(สิ่งที่)ฉัน(สอน)เท่านั้น ยังรวมถึงหลายๆ อย่างที่รุ่นพี่สอนให้ด้วย จากนี้ไปฉันเฝ้ารอเต็มที่ที่(เธอ)จะเพิ่มความเป็นตัวเองให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ และตัวฉันเองก็จะพยายามเต็มที่ไม่ยอมแพ้เช่นกันค่ะ


  สิ่งที่รู้สึกได้เมื่อได้ท้าทายกับคอนเสิร์ตแบบใหม่ที่โคฟเวอร์เพลง “บัลลาด”  

――ในครึ่งหลังนี้เราจะขุดลงไปให้ลึกขึ้นเกี่ยวกับ “เพลง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการคุยกับโอดะซัง Hello! Project ได้จัดคอนเสิร์ต “~The Ballad~” ขึ้น ซึ่งเป็นการโคฟเวอร์เพลงดังในอดีตและถือเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ ในช่วงโควิดระบาด ช่วยบอกถึงสิ่งที่ได้จากตรงนั้นหน่อย

การได้ดึงตัวเองออกจากการแสดงสีหน้าท่าทางที่เคยให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมของมอร์นิ่ง มุสุเมะและท้าทายในงานประเภทใหม่กลายเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีเลยค่ะ เพลงบัลลาดเนี่ยมักจะมีเนื้อเพลงที่จับใจมากๆ ใช่ไหมคะ ฉันได้ร้องเพลงอกหักสุดๆ ในระหว่างซ้อมฉันเคยใส่อารมณ์มากเกินไปจนปั่นป่วนเหมือนจะหายใจเร็วเกินไปด้วยค่ะ ในตอนนั้นถึงได้รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าความสามารถของตัวเองและพลังเสียงนั้นยังไม่เพียงพอค่ะ ซึ่งทำให้ฉันได้มองเห็นเป้าหมายใหม่ว่าต้องควบคุมความรู้สึกและเสียงร้องของตัวเองให้ได้มากกว่านี้ค่ะ

――เมื่อคอนเสิร์ตผ่านไปก็มีสมาชิกที่สกิลอัพเพิ่มขึ้นมาเยอะด้วยใช่ไหม

ฉันว่าเป็นโอกาสดีที่ได้โชว์การร้องเดี่ยว และสมาชิกที่เข้าร่วมทุกคนเองก็ได้เผชิญหน้ากับตัวเพลงด้วยค่ะ เพียงแต่พอมาลองมาคิดดูถึงเรื่องในด้านเทคนิคแล้ว พอ “~The Ballad~” ผ่านไป ฉันว่าไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆ อย่างทุกคนร้องเพลงเก่งขึ้นหรอกนะคะ ที่จริงแล้ว พอพูดแบบนี้เดี๋ยวก็จะมีคนคิดว่า “โอดะพูดเรื่องอะไรอีกแล้วเนี่ย~” แน่เลยค่ะ (หัวเราะ)

――(หัวเราะ) ไม่หรอก แถมยังสนใจเรื่องนั้นมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

คนที่สนใจจะเผชิญหน้ากับดนตรีอย่างจริงใจเนี่ย จะจับความรู้สึกละเอียดอ่อนมากๆ ที่เรียกว่า “จังหวะ” ซึ่งพวกเราให้ความสำคัญเสมอได้ค่ะ แต่พอดูภาพรวมโดยทั่วไปแล้วกลับมีคนสนใจในส่วนนั้นไม่เยอะเลย แถมยังเป็นส่วนน้อยด้วยค่ะ เพราะอย่างนั้นถึงได้ประเมินว่า “ร้องเพลงเก่ง!” กับการแสดงออกด้านความรู้สึก เสียงสั่น (Vibrato) หรือคีย์สูงซึ่งเป็นส่วนที่สังเกตได้ง่ายค่ะ

ดังนั้น ถึงจะรู้สึกขอบคุณที่ได้รับการประเมินในประเภทบัลลาดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับส่วนที่สังเกตเห็นได้ง่ายแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกที่เร่าร้อนว่า “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ!” อยู่ด้วย

――สิ่งที่แสดงให้เห็นในบัลลาดน่าจะเป็นด้านใหม่อีกด้านหนึ่งของโอดะซังและเหล่าสมาชิกสินะ

ใช่แล้วค่ะ ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นนะคะ แต่เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ส่งมอบอะไรใหม่ๆ ให้กับบรรดาแฟนๆ ด้วย ฉันว่ามันดีมากจริงๆ ค่ะ!

――และในช่วงโควิดระบาด สมาชิกแต่ละวงใน Hello! Project ก็แบ่งออกเป็น 4 ทีมและเปิดทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ “Kachoufuugetsu (花鳥風月)” ทั่วประเทศด้วยเหมือนกันนี่นะ

ค่ะ สิ่งที่ต้องจำใน “Kachoufuugetsu” มีเยอะมาก ซึ่งในความหมายนั้นก็น่าจะมีสมาชิกที่รู้สึกลำบากอยู่หลายคน แต่ทีม tori (鳥) ที่ฉันสังกัดอยู่นั้นมีคนที่นุ่มนิ่มอยู่เยอะเลยมีบรรยากาศสงบสุขตั้งแต่ต้นจนจบและสบายใจมากจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ก็ยังสนิทกับสมาชิกในตอนนั้นอยู่เลย พอเจอกันก็วี๊ดว๊ายกันค่ะ

――ในทีม tori นั้นรู้สึกว่าโอดะซังจะอยู่ในตำแหน่งรุ่นพี่ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาสมาชิกที่เข้าร่วม เคยรับหน้าที่คอยดูแลทุกคนบ้างไหม?

แต่ละคนซ้อมกันมาก่อนจากบ้านแล้วถือเป็นเรื่องดีนะคะ แต่ถ้าแค่นั้นแล้วมาแสดงเลยใครๆ ก็ทำได้ใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นฉันจึงอยากให้ความสำคัญกับการทำด้วยกันบนเวทีในฐานะทีมตั้งแต่ก้าวแรกและลงมือจัดการค่ะ

พอมีคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ ก็จะเผลอนึกเทียบกับรุ่นพี่และจำได้ไม่ดีจนร้อนรนกันอยู่เรื่อย ฉันก็จะเข้าไปคุยว่า “อุตส่าห์มีโอกาสให้อาจารย์มืออาชีพสอนให้ทั้งที ถือโอกาสดูดซับตรงนั้นเอาไว้นะ” และอยากทำในเรื่องที่เพราะเป็นทีมนี้นี่แหละถึงทำได้ ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าตัวเองทำเหมือนเป็นลีดเดอร์หรือเปล่า (หัวเราะ)

ใช่แล้วละค่ะ เพราะอยู่กับบรรดารุ่นพี่ที่เทใจให้และพึ่งพาได้มาด้วยกันกว่า 10 ปี จะให้ยังเป็นน้องเล็กอยู่ก็ไม่ใช่แล้วค่ะ (หัวเราะ) แต่ฉันเองก็ชอบการดูแลรุ่นน้องมากเลยนะคะ


  รักตัวเอง และรักคนอื่นเท่าๆ กันด้วย  

――โอดะซังที่เป็นแบบนั้นช่วยเล่าให้ฟังถึงที่รักที่ชอบในตอนนี้ให้ฟังด้วยสิ

คีย์เวิร์ดที่ขาดไม่ได้ในหัวข้อ “รัก” ที่ตัวเองคิดคือ “คนอื่น” ค่ะ เคยมีคนบอกว่า “ทำไมถึงทำเพื่อคนอื่นถึงขนาดนั้น?” เรื่องนั้นก็ง่ายๆ ว่าเพราะตัวเองอยากทำ แล้วก็ทำเต็มที่ด้วยค่ะ

ฉันน่ะมีความรักที่มีต่อคนอื่นอยู่มากจริงๆ ค่ะ แต่นั่นก็หมายถึงการเสียสละตัวเองด้วยใช่ไหมล่ะคะ อย่างเช่นว่า ฉันชอบขัดเกลาตัวเองด้วยการพยายามทำผม ศึกษาวิธีการแสดงเสน่ห์บนเวที แต่คนที่ประเมินในส่วนนั้นสุดท้ายแล้วก็คือ “คนอื่น” ใช่ไหมล่ะคะ ฉันรู้สึกได้ว่าเพราะมีคนที่มาดูจึงมีค่าพอที่จะทำและพยายามได้ ดังนั้นยังไงดี ก่อนอื่นต้องรักตัวเองก่อน แล้วก็เลยกลายเป็นคนที่รักคนอื่นเท่าๆ กันไปด้วยค่ะ (หัวเราะ)

――ไม่มีที่คิดอยากกลับไปทบทวนดูบ้างเหรอ?

ไม่มีนะคะ แต่ก็มีที่คิดว่า ถ้าคนมากมายคิดถึงเรื่องของคนอื่นมากขึ้น โลกเราก็น่าจะสงบสุขมากกว่านี้ อยู่เหมือนกันค่ะ พลังของการรวมกลุ่มมันเข้มแข็งมากใช่ไหมล่ะคะ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาชีวิตรอดมาแบบนั้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้วด้วยค่ะ

แต่ว่าในปัจจุบันมีกระแสว่าการเป็นจุดเด่นแบบเดี่ยวๆ นั้นเท่กว่า และการบังคับที่เหมือนการช่วยเหลือกันฝ่ายเดียวก็แตกต่างออกไปอีก ฉันก็คือฉัน ทุกคนก็คือทุกคน ต่างก็มีสิ่งที่ให้อยากให้ความสำคัญแตกต่างกันออกไปค่ะ แต่สำหรับแฟนของฉันแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นคนที่อ่อนโยนต่อผู้อื่นนะคะ!

――การที่คิดกับทุกอย่างในมุมมองที่ใหญ่โตแบบนั้นได้ เป็นผลลัพท์จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในฐานะไอดอลใช่ไหม?

ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปหลายปีก่อนตั้งแต่ตอนที่ได้เข้ามอร์นิ่ง มุสุเมะมา วันเริ่มแตกเนื้อสาวกำลังทิ่มแทงอยู่พอดี ฉันสนใจการประเมินค่าจากคนอื่น เอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น… คือใช้ชีวิตมาแบบต้องคอยห้ามตัวเองเอาไว้อยู่ (หัวเราะ) ระยะหลังมานี่เริ่มมีคนบอกฉันว่าพอเทียบกับเมื่อก่อนแล้วบรรยากาศดูนุ่มนวลขึ้นมากขึ้นนะคะ แต่ทางนี้คิดว่านี่คือตัวเองที่เป็นอยู่แต่เดิมค่ะ แต่ก็อยากจะเก็บความรู้สึกในช่วงแตกเนื้อสาวเอาไว้โดยไม่ลืมเลือนไปนะคะ


  ช่วงเวลาที่ต้องการ 120 คะแนนเสมอจนเจ็บปวด  

――เคยมีที่ความเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกในการทำกิจกรรมส่งผลต่อ “เพลง” บ้างไหม?

มีค่ะ ฉันชอบการร้องเพลงมาตลอดนะคะ แต่ในช่วงประมาณ “~The Ballad~” ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็มีช่วงเวลาที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการร้องเพลงไม่สนุกขึ้นมาเหมือนกันค่ะ เพราะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมากะทันหันว่า “จะถูกประเมิน” น่ะค่ะ แบบคิดขึ้นมาว่า ”…ทำไมล่ะ?” ต่อบรรยากาศที่เหมือนว่าโอดะ ซากุระน่ะร้องเพลงได้ ทำได้เป็นเรื่องปกติ ช่วงเวลาที่ต้องการ 120 คะแนนเสมอนั่นเป็นช่วงที่เจ็บปวดจริงๆ ค่ะ ฉันเป็นประเภทมักจะไล่ต้อนตัวเองจนถึงจุดที่แทบจะวิกฤตนะคะ แต่ไม่ได้แสดงออกในเรื่องแบบนั้นทางสีหน้าค่ะ

――เล่าเรื่องในส่วนของใจจริงน่าดูเลยนะเนี่ย

ฉันเป็นพวกชอบดูพวกคอมเม้นต์เกี่ยวกับคอนเทนต์ที่พวกเราปล่อยกันน่ะค่ะ แล้วมีคนเขียนมาประมาณว่า “โอดะ ซากุระเนี่ยถ้าตั้งใจน่าจะสุดยอดกว่านี้” แบบว่า “…ก็ตั้งใจแล้วนะคะ!?” (หัวเราะ) นี่เป็นเรื่องที่ตลกนิดหน่อยค่ะ สิ่งที่กลัวคือฉันมีส่วนที่ตัวเองจะเผลอดูดซับเอาเสียงหรือความเห็นเหล่านั้นเข้ามาหาตัวเองโดยไม่รู้ตัวนี่แหละ

เพราะเผลอคาดหวังกับตัวเองไปว่า “ฉันทำได้มากกว่านี้” โดยไม่รู้ตัว ก็เลยเผลอดูดซับตัวเองในส่วนนั้นเข้ามาด้วยค่ะ แล้วเป็นช่วงเดียวกับที่ป่วยต่อเนื่องและตรวจเจอว่าเป็นความผิดปกติด้านการออกเสียงด้วย เลยเสียศูนย์หลายๆ อย่างไป

――พอสาเหตุหลายๆ อย่างมาซ้อนกันเข้าเลยติดหล่มสินะ

ระบบทีมในคอนเสิร์ตที่เคยทำด้วยกันมาจนถึงตอนนี้เปลี่ยนไปเพราะโควิดระบาด พอรวมกับสภาพที่สะบักสะบอมแบบนั้นเข้าไปทำให้เข้าใจทุกฝ่ายได้ไม่ดีพอเหมือนที่เคยเป็นมา… ในตอนนั้นก็เลยเป็นสภาพที่ “ไม่อยากร้องเพลง” เข้าจริงๆ น่ะค่ะ

――สภาพที่ถึงไม่อยากร้องเพลงแต่ก็ต้องร้องนี่มันเจ็บปวดไหม?

ก็บอกออกไปชัดๆ ตรงนั้นว่า “ร้องไม่ได้ค่ะ” แล้วในทัวร์ของ Kachoufuugetsu ครั้งที่สองก็ได้พาร์ทร้องน้อยลงค่ะ อาจจะมีคนสังเกตเห็นก็ได้นะคะ

――กังวลที่ไม่ได้ร้องเพลงบ้างหรือเปล่า?

ฉันกลับรู้สึกสบายใจอย่างเต็มที่เลยค่ะ เพราะเป็นช่วงที่สภาพเสียงไม่ดีด้วย แบบว่าถือเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องกังวลกับปฏิกิริยาของผู้ชมตอนที่ฉันทำพลาดน่ะค่ะ ยังไงดี… แน่นอนว่าสภาพร่างกายสำคัญที่สุดก็จริง แต่พอร้องเพลงแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับตัวเองคือในส่วนของความรู้สึกทั้งหลายน่ะค่ะ

แน่นอนว่าความสามารถเองก็สำคัญ แต่ตอนนี้ฉันข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาได้แล้วและสบายดีแล้วจริงๆ ค่ะ กำลังสนุกกับการร้องเพลงเต็มที่เลยค่ะ! ตอนนี้ทั้งจิตใจและร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีสุดๆ เลยค่ะ


  อยากทำเรื่องที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ทำได้  

――โอดะซังเนี่ย ไม่ใช่แค่การร้องเพลงเท่านั้น แต่ยังมีภาพว่าเต้นเก่งด้วย

ดีใจจัง! ตั้งแต่ช่วงเข้าวงมาฉันได้รับคำชมเรื่องเพลงค่อนข้างบ่อยนะคะ แต่ถ้าแค่ร้องเพลงเก่งก็ไม่มีความหมายที่จะยืนอยู่บนเวทีในฐานะไอดอลใช่ไหมคะ ดังนั้นเลยพยายามมาจนถึงตอนนี้เพราะอยากให้มีคนชมว่าเต้นเก่งด้วยน่ะค่ะ ก็แบบอยากพูดเท่ๆ ว่า “ฉันเต้นได้นะ?” บ้างนี่คะ (หัวเราะ)

แต่ปกติแล้วจะแสดงเสน่ห์บนเวทีได้ แค่ร้องกับเต้นไม่พอหรอกค่ะ ยังไงก็ต้องใส่ใจและทุ่มสุดกำลังกับการแสดงบนเวทีโดยใช้การแสดงออกทางสีหน้าหรือการใช้เส้นผมด้วยค่ะ ที่จริงแล้วพูดได้แค่ตรงนี้เลยว่า “ไม่ว่าตรงไหนก็พยายามอย่างเต็มที่ไม่ออมมือให้” ถึงแม้ว่าผลลัพท์จะมีจุดที่ต้องปรับปรุงอยู่มากมายเพราะสภาพร่างกายแย่ลงหลายต่อหลายครั้งก็ตาม (หัวเราะ)

――ตอนได้พักก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ…

ขอบคุณค่ะ (หัวเราะ) แต่ตะกี้ก็เล่าไปแล้วว่าฉันเป็นประเภทที่เวลาทำไม่ได้ก็จะพูดว่า “ไม่ไหว” น่ะค่ะ ถ้าคิดแบบปกติแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก แต่ฉันว่าคงจะดีถ้ามีใครสักคนพูดแล้วมีคนที่ทำตาม ก่อนอื่นฉันเลยอยากเป็นแนวหน้าที่พูดให้ชัดเจนเพื่อบรรดารุ่นน้องด้วยค่ะ ไม่ต้องพูดตรงๆ ก็ได้ค่ะ ฉันว่ามันมีความหมายถ้าจะมีคนในบริษัทจำได้ประมาณว่ามีเด็กที่พูดประมาณนี้น่ะค่ะ

――แหล่งกำเนิดของพลังแบบนั้นมาจากไหนกัน?

อืม สุดท้ายแล้วฉันว่าฉันทำเพื่อตัวเองน่ะค่ะ ฉันอยากทำเรื่องที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ทำได้น่ะค่ะ เพราะจะเผลอคิดว่าถึงตัวเองทำในเรื่องที่คนอื่นทำได้ไปก็ทำอะไรไม่ได้

――มีอะไรที่ทำเพื่ออัพเดทไหวพริบบ้างไหม?

ถ้าเป็นเรื่องดนตรี ระยะหลังมานี้ฉันไปไลฟ์ของพวกวงดนตรีค่ะ เพราะอยากขัดเกลาความสามารถในการฟังเสียงเครื่องดนตรี วงดนตรีเนี่ยการเคลื่อนไหวระหว่างเล่นกับเสียงจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันเลยได้เรียนรู้มากมายเลยค่ะ พอได้ฟังเพลงของวงที่ไม่รู้จักเพลงเป็นครั้งแรก ฉันก็อยากจะจดจำว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเอาไว้ด้วยค่ะ ฉันทำแบบนั้นเพราะฉันชอบงานที่เหมือนฉันกำลังพยายามศึกษาด้วยตัวเองอย่างตั้งใจมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วน่ะค่ะ

เพราะอย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องก่อนหน้านี้สักพักนะคะ มีช่วงที่ฉันเคยฟังเพลงและคิดแยกประเภทและจับกลุ่มเพลงและเสียงร้องแต่ละเพลงของพวกอุไตเตะซัง (คนร้องเพลงโคฟเวอร์ในเน็ตหรือคนร้องเพลงโคฟเวอร์โวคัลลอยด์) ด้วยตัวเองว่าจับแบบไหนที่จะทำให้คนฟังประทับใจได้ด้วยค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นความสนใจส่วนตัวทั้งหมดก็จริง แต่นำไปใช้กับการทำกิจกรรมของมอร์นิ่ง มุสุเมะได้ทั้งนั้นเลยค่ะ

――พอได้ฟังเรื่องของโอดะซังแล้ว รู้สึกได้ถึงความรักที่มีต่อมอร์นิ่ง มุสุเมะและไอดอลมากๆ เลย

ขอบคุณค่ะ ช่วงนี้ฉันเริ่มคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าฉันเนี่ยอยากเป็นไอดอลจริงๆ นั่นแหละค่ะ และตอนนี้อาจจะยังไม่มีอย่างอื่นที่อยากทำหรือเปล่านะ…? การได้ร้องทั้งเพลงน่ารักและเพลงเท่ๆ เนี่ยถือเป็นเอกสิทธิ์ของไอดอลใช่ไหมล่ะคะ ฉันเลยอยากไขว่ขว้าการแสดงออกที่อิงไปกับเพลงเหล่านั้นตลอดให้ได้น่ะค่ะ

ดังนั้น อันนี้เรื่องสมมตินะคะ ถ้าสักวันฉันเลิกเป็นไอดอลแล้วฉันจะเป็นนักร้องค่ะ ในตอนนั้นต้องมีที่หันกลับไปมองแน่ๆ ว่า “ทำไมถึงยังทำตัวเป็นเด็กน่ารัก ร้องเพลงน่ารักๆ อยู่อีกล่ะ?” แต่อาจจะเป็นเรื่องที่สุดโต่งเกินไปสักนิดนะคะ (หัวเราะ)

ที่ฉันอยากบอกก็คือฉันรู้สึกขอบคุณสภาพแวดล้อมและเวลาในตอนนี้ที่ได้อยู่ในมอร์นิ่ง มุสุเมะที่ฉันรักมาก และจากนี้ไปก็จะตั้งใจแสดงออกให้เต็มที่ค่ะ!



  小田さくら (โอดะ ซากุระ)  

เกิดวันที่ 12 มีนาคม 1999 บ้านเกิดจังหวัดคานางาวะ ผ่านเข้ารอบ “Morning Musume Member 11th Generation ‘Suppin no Utahime’ Audition” ซึ่งจัดขึ้นในปี 2012 และเข้าเป็นสมาชิกรุ่น 11 ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน ชื่อเล่นโอดะซากุ (おださく), ซากุระ (さくら) สีประจำตัวคือสีลาเวนเดอร์ ความสามารถพิเศษคือการเต้นฮูล่า เป็นที่รับรู้กันว่ารักแมว ได้รับการประเมินด้านความสามารถในการร้องเพลงอย่างสูงมาตั้งแต่ตอนเข้าวง วีดีโอโคฟเวอร์เพลง “Aitakute Ima” ของ MISIA ที่ลงในช่อง Official Youtube (Morning Musume) นั้นมียอดการเข้าชมเป็นสถิติกว่า 1,780,000 ครั้งจนเป็นที่รู้จักกันอย่างมากมาย (ในปัจจุบันที่เดือนตุลาคม 2022) ทั้งยังรับหน้าที่เป็นคนคอยรับมุกกับสมาชิกรุ่นพี่ที่ชอบปล่อยมุกอย่างอิสระด้วย





ขอบคุณที่มาจาก ┇ LINK 1 ┇ LINK 2 ┇


Post a Comment

0 Comments