[Review] あやしい遊園地 奇妙で愉快なショートショート集

 

     สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิวหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่อ่านจบไป สำหรับในคราวนี้เป็นรวมเรื่องสั้นขนาดสั้นที่ไม่ได้อ่านมาพักใหญ่แต่มีดองไว้เพียบค่ะ ซึ่งเล่มนี้เรายืมมาอ่านจากใน Kindle Unlimited เช่นเคยเพราะสะดุดตากับปกและธีมของหนังสือที่ดูเป็นแนวที่เข้าทางเรา ซึ่งยืมมาแล้วก็ดองและใช้เวลาอ่านนานมาก แต่สุดท้ายก็อ่านจบจนได้ค่ะ


(ภาพจาก Amazon)

ชื่อเรื่อง : あやしい遊園地 奇妙で愉快なショートショート集 (Ayashii Yuuenchi Kimyou de yukaina Short Short Shuu)
ผู้เขียน : 江坂遊 (Esaka Yuu)
สำนักพิมพ์ : 講談社文庫 (Kodansha Bunko)
จำนวนหน้า : 381 หน้า
ราคา : 748 เยน 


     รวมเรื่องสั้นขนาดสั้นสุดประหลาด 70 เรื่องในธีมสวนสนุกประหลาด โดยในเล่มจะแบ่งเรื่องเป็น 4 ธีมย่อยตามเครื่องเล่นในสวนสนุกคือ "เจ็ทโคสเตอร์" "บ้านผีสิง" "โชว์เฮ้าส์" และ "ม้าหมุน" แต่ถึงจะเป็นธีมสวนสนุกแต่เรื่องราวในเล่มทั้งหมดแทบไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับสวนสนุกเลย แต่ละเรื่องมีเรื่องราวของตัวเองที่มีทั้งความลึกลับ แปลกประหลาด หักมุม หรือให้ความรู้สึกประหลาดเมื่ออ่านจบ 

     โดยรวมแล้วมีเรื่องที่ชอบค่อนข้างเยอะค่ะ เรื่องแต่ละเรื่องมีความประหลาดสมคำเคลม เท่าที่เราพอรู้มาคือผู้เขียนเค้าเขียนในแนวเดียวกับอ.โฮชิ ชินอิจิ ที่มีชื่อเสียงในด้านการเขียนเรื่องสั้นขนาดสั้นด้วย ซึ่งเท่าที่อ่านก็รู้สึกถึงกลิ่นอายนั้นได้ชัดเจน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง อย่างของอ.โฮชิที่เราเคยอ่านมา เราว่าของอ.จะไปในแนวลึกลับไซไฟมากกว่า (แต่เราเองก็ยังอ่านงานของอ.ไม่เยอะพอที่จะบอกได้ว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่านะคะ) แต่ในเล่มนี้จะให้ความรู้สึกถึงความประหลาด ลึกลับ และเซอร์เรียลมากกว่า อารมณ์ตอนอ่านคล้ายๆเวลาเจองานเซอร์เรียลของโอตสึอิจิค่ะ เพียงแต่นี่เป็นแค่เรื่องสั้นขนาดสั้น ความยาวประมาณ 5-6 หน้าเท่านั้นเอง

     ด้านการเล่าเรื่อง จะมีทั้งการเล่าแบบมุมมองพระเจ้า เล่าเหมือนตัวเอกเล่าเรื่องให้เราฟัง หรือเป็นบทสนทนาของคนสองคนแล้วเราไปเงี่ยหูฟังเค้าคุยกันก็มี ซึ่งที่ค่อนข้างติดใจเราที่สุดคือการเล่าเรื่องเหมือนไปนั่งฟังเค้าคุยกันนี่แหละ เพราะเรื่องที่เล่าแบบนี้จะไม่มีบทบรรยายลักษณะท่าทางของคนสองคนเพิ่มเติมเลย เป็นบทสนทนาที่รับส่งกันไปเรื่อยๆอย่างเดียวจนจบเรื่อง ถ้าเรื่องไหนที่พอจับต้นชนปลายได้ก็ดีไป แต่หลายเรื่องเราเองก็ต้องยอมรับว่าอ่านแล้วงงๆ ค่ะ ถึงแม้เรื่องจะสนุก แต่สำหรับเราคือหลายครั้งอ่านแล้วหลับคาแท็บเล็ตเลย ไม่ใช่ว่าเรื่องไม่น่าสนใจ แต่เป็นที่ตัวเราเองที่อาจจะยังทำความเข้าใจได้ไม่มากพอมากกว่า


     ในด้านภาษา ยอมรับเลยว่าเล่มนี้ค่อนข้างใช้ภาษาแปลกกว่าที่เคยอ่านมา ซึ่งคงเป็นที่ตัวเราเองที่ไม่คุ้นชินมากกว่า มีศัพท์ที่ไม่เคยเห็นเยอะ คำทับศัพท์อังฤษก็เยอะ ที่รู้สึกเด่นชัดสุดในใจเราคือผู้เขียนเลือกใช้ ワイフ แทนคำว่า 奥さん เสมอเวลาตัวละครพูดถึงภรรยาตัวเอง หรือคำหลายคำที่เราเคยชินกับคำทับศัพท์ ในเล่มนี้เลือกใช้เป็นคำญี่ปุ่นก็มี กับอีกอย่างคือการเล่นคำตัวคันจิที่บังคับให้อ่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้ความหมายเพิ่มเติมให้กับคำนั้นด้วย นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นเยอะมากโดยเฉพาะคันไซเบง บวกกับหลายเรื่องเป็นบทสนทนาของคนสองคนคุยกันแบบไม่มีบทบรรยายเพิ่มเติมเลย ทำให้ค่อนข้างใช้เวลาในการอ่านนานมากค่ะ

     ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือความเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้นนะคะ เพราะเท่าที่อ่านมาจนจบเล่มก็มีหลายเรื่องที่ชอบมากๆ อ่านจบแล้วร้องเหยดก็มี 555 และด้วยความที่เป็นแบบดิจิตอล เราเลยแคปเรื่องที่เราชอบเก็บไว้ด้วย พอมานับจริงๆก็เกิน 20 เรื่องอยู่ค่ะ ส่วนที่อ่านไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจ เราโทษความอ่อนด้อยทางภาษาของเราเองอย่างเดียวค่ะ


     ตามธรรมเนียมเช่นเคย ด้านล่างนี้จะเป็นเรื่องย่อของบางเรื่องที่ชอบในเล่มนะคะ โดยเราจะเลือกมาแค่ 3 เรื่อง สำหรับคนที่ไม่อยากโดนสปอยสามารถข้ามไปได้เลย และคนที่อยากอ่านก็คลุมดำอ่านได้เลยค่ะ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวเล่มหน้านะคะ


無用の店 (ร้านขายของไม่จำเป็น)

     ชายผู้หนึ่งเดินเมาหลงไปเจอเข้ากับร้านที่ขึ้นป้ายชื่อร้านว่า "ร้านขายของไม่จำเป็น" ที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินของตึกออฟฟิศแห่งหนึ่งเข้า เขานึกสนุกจึงลองไปเคาะประตูร้านที่ปิดอยู่และโหวกเหวกโวยวายวห้เจ้าของร้านเปิด ตัวเองจะซื้อของ เจ้าของร้านจึงมาเปิดประตูให้และบอกว่ากำลังจัดร้านอยู่ พร้อมกับแนะนำว่าร้านโกโรโกโสร้านนี้ขายของไม่จำเป็นล่วงหน้า ด้วยความสงสัย ชายผู้นั้นจึงลองหยิบร่มพับใกล้มือมาคันนึง ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นร่มที่ใช้ไม่ได้ ขาด หัก หรือมีรู แต่เท่าที่ดูก็เป็นร่มทั่วๆไปที่ยังใช้งานได้ตามปกติ เลยตัดสินใจว่างั้นก็ลองซื้อแล้วกัน ร่มธรรมดาๆ ในร้านแบบนี้น่าจะขายถูกๆ แต่เจ้าของร้านกลับคิดราคาถูกพิเศษให้ที่ 100,000 เยน ชายคนนั้นจึงโวยวายว่าร่มแค่นี้ทำไมขายแพง เจ้าของร้านจึงย้อนกลับไปว่าเมื่อกี้คุณบอกเองนะว่าจะมาซื้อของน่ะ แต่ชายคนนั้นก็ยังคงสงสัย เจ้าของร้านจึงเสนอว่างั้นเอาร่มไปลองใช้ดูก่อน ถ้าใช้แล้วยอมรับว่าเป็นของที่ดีตามที่เคลมจริงก็ให้โอนเงินมาที่บัญชีนี้

     พอได้ร่มพับมาแล้ว ชายผู้นั้นก็เอาร่มใส่ไว้ในกระเป๋าเผื่อไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน แต่หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือนผ่านไปก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ร่มคันนั้นเสียที ไม่ใช่ว่าฝนไม่ตก แต่เวลาฝนตกมักเป็นวันที่ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอกหรือได้ใช้รถ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้ร่มเสียทีต่างหาก เขาจึงยังไม่โอนเงินไปเพราะยังไม่มีโอกาสได้ใช้ร่ม แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้าเดือนที่ห้า ชายคนนั้นถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่า เหตุผลที่ร่มคันนี้ขายแพงเป็นเพราะร่มคันนี้ "ไม่ได้มีไว้เพื่อกาง แต่มีไว้เพื่อให้ไม่ต้องกางร่ม" ต่างหาก ดังนั้นร่มคันนี้จึงเป็น "ของไม่จำเป็น" ที่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อสถานการณ์เหล่านั้น สุดท้ายแล้ว ชายผู้นั้นก็ยอมรับในตัวสินค้าและแวะเวียนไปคอยดูประกาศขายสินค้าใหม่ๆ ที่หน้าร้านและเฝ้ารอให้ร้านออกสินค้าใหม่เสมอ


アトリエから招待状 (บัตรเชิญจากห้องศิลปะ)

     จดหมายปริศนาฉบับหนึ่งส่งมาโดยมีเนื้อความเล่าว่า ตัวเจ้าของจดหมายนั้นเป็นจิตรกรผู้หลงใหลในกล้องสลับลาย (คาไลโดสโคป) และมีงานอดิเรกคือสะสมกล้องสลับลายมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งในสมัยเด็ก เขาได้มีโอกาสไปเจอกล้องสลับลายแปลกประหลาดที่ร้านขายของที่ระลึกในระหว่างการท่องเที่ยว ซึ่งภายในกล้องนั้นแปลกประหลาดมาก เนื่องจากสิ่งที่เขาเห็นคือหญิงสาวสวยคนหนึ่งในกล้องนั้น เมื่อเขาหมุนกล้อง ทั้งคอ แขน ขา ของผู้หญิงก็แยกออกจากกันและหมุนอยู่ในกล้อง เกิดเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายและติดตราตรึงใจเขา ตั้งแต่นั้นมา เขาก็หมกมุ่นอยู่กับกล้องสลับลายอันนั้นจนไม่สนใจอันอื่นอีกต่อไป และคิดว่าแค่มีกล้องอันนี้ก็พอแล้ว

     เวลาล่วงเลยไป จนวันหนึ่งเขาเกิดความคิดที่อยากจะลองจีบและใช้ชีวิตอยู่กับหญิงสาวภายในกล้องสลับลายขึ้นมา และได้เจอเข้ากับหญิงผู้หนึ่งตรงหัวมุมทางไปสถานีรถไฟ ใบหน้าของเธอเหมือนกับหญิงสาวในกล้องสลับลายมาก เขาจึงมอบนามบัตรให้กับเธอและขอร้องแกมบังคับให้เธอมาเป็นนางแบบให้เขา จนในที่สุดเธอก็ยอมมาที่ห้องศิลปะของเขาในวันถัดมา ในตอนแรก เขากลุ้มใจว่าไม่มีวิธีไหนที่จะถ่ายทอดความงามของเธอลงบนผืนผ้าใบได้เลย ในระหว่างที่กำลังว้าวุ่นใจ หญิงสาวคนนั้นก็ไปหยิบกล้องสลับลายอันโปรดของเขาขึ้นมาส่องดู

     พอเห็นหน้าหญิงสาว จิตรกรก็รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ในจังหวะที่เธอคว้ากระเป๋าเตรียมจะกลับนั้น เขาจึงทุบเธอเข้าที่ด้านหลังสุดแรง และลากร่างของเธอลงไปในห้องใต้ดิน ก่อนจะแยกร่างของเธอบรรจุเข้าไปในกล้องสลับลายขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้น และส่งจดหมายเชิญฉบับนี้มาให้เพราะอยากเชิญมาร่วมชมความงดงามของภาพนี้ร่วมกัน เนื่องจากหญิงสาวเคยบอกว่าผู้รับนั้นคือสามีของเธอนั่นเอง


書き置き (ข้อความที่ทิ้งไว้)

     ในเช้าวันหนึ่ง เรียวอิจิตื่นขึ้นมาเจอเข้ากับจดหมายที่วางทิ้งไว้ในบ้าน เขียนว่า "ทนชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ลาก่อน" เขาตกใจมาก และนึกว่าเป็นเรโกะ ภรรยาของตัวเองที่เพิ่งทะเลาะกันไปเป็นคนเขียนทิ้งไว้และหนีออกจากบ้านไปจากการที่เขามีชู้ เขาจึงรีบลุกขึ้นและไล่ตามเธอไปเพราะน่าจะยังไปได้ไม่ไกลมาก แต่พอเขาวิ่งลงเนินไปที่ป้ายรถเมล์ เขาก็เจอเข้ากับภรรยาที่เข้ามาถามเขาว่า เห็นจดหมายที่มามิ ลูกสาวของพวกเขาเขียนทิ้งไว้หรือเปล่า

     เรโกะรีบเล่าว่ามามิลูกสาวทะเลาะกับตัวเองเรื่องแฟนที่คบกันอยู่ เลยเขียนจดหมายแบบนั้นทิ้งไว้แล้วออกจากบ้านไป พร้อมกับเล่าว่าลูกสาวเคยคิดฆ่าตัวตายสองครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ เรียวอิจิจึงปลอบภรรยาที่กำลังเสียใจ ในตอนนั้น มีรถเมล์เข้าเทียบป้ายรถเมล์อีกฟากของถนน แล้วมามิ ลูกสาวของพวกเราก็ลงมาจากรถคันนั้น เธอรีบมาบอกพ่อแม่ว่าแย่แล้ว ยูสุเกะ น้องชายหนีออกจากบ้านไปแล้ว

     มามิขอโทษพ่อแม่ บอกว่าเพราะตัวเองทะเลาะกับน้องชาย สั่งสอนน้องแล้วบอกว่าที่พูดก็เพื่ออนาคตของตัวน้อง เมื่อเช้ายูสุเกะเลยหนีออกจากบ้านไป เรียวอิจิไม่รู้จะทำอย่างไรเลยโอบไหล่มามิด้วยอีกคน มามิเล่าต่อว่าเมื่อเช้าตามไปถึงสถานีรถไฟแต่ก็ไม่เจอแล้ว ที่เกมเซ็นเตอร์ที่ชอบไปก็ไม่อยู่ แต่เธอได้ยินข่าวลือมาจากเพื่อนน้องว่าเขามีแฟนและวางแผนจะหนีตามกันไป และในขณะที่กำลังรำพึงรำพันว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวกันนี่ มามิก็ชี้ไปทางสถานีรถไฟ และมองเห็นยูสุเกะกำลังเดินมา

     ยูสุเกะที่เพิ่งกลับมาแปลกใจว่าพ่อแม่และพี่สาวมารอรับพร้อมหน้าพร้อมตา เกิดอะไรขึ้นหรือ พร้อมกับบอกว่าวันนี้เป็นวันวางจำหน่ายสแตมป์ที่ระลึก ตัวเองเลยรีบออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ทำให้ทุกคนงงและรีบซักไซ้ว่ายูสุเกะเป็นคนเขียนข้อความทิ้งไว้หรือเปล่า แต่ยูสุเกะปฎิเสธ บอกว่าตอนตัวเองออกจากบ้านมาไม่เห็นมีอะไรวางอยู่เลยนะ 

     ทั้งสี่คนต่างก็สงสัยว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วใครเป็นคนเขียนข้อความปริศนาว่า "ทนชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ลาก่อน" เอาไว้และคุยกันในระหว่างเดินกลับบ้าน แต่พอกลับมาถึงบ้านแล้วกลับพบว่า บริเวณที่เคยมีบ้านของตัวเองตั้งอยู่กลับไม่มีอีกต่อไป



Post a Comment

0 Comments