สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกแล้วกับรีวิวหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่เราอ่านจบนะคะ สำหรับรอบนี้จะแปลกไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อยเพราะคราวนี้ไม่ใช่นิยายแต่เป็น Essay Book ที่มีอยู่น้อยนิดในคลังของเราค่ะ คือปกติแล้วชอบซื้อนิยายอ่านมากกว่าหนังสือประเภทนี้ แต่สำหรับเล่มนี้ที่ซื้อมาอ่านเพราะเป็นเรื่องราวของโปรดิวเซอร์เพลงที่เรานับคือ นั่นคือซึงคุซังนั่นเองค่ะ
(ภาพจาก Amazon)
ชื่อเรื่อง : だから、生きる。 (Dakara, Ikiru.)
ผู้เขียน : つんく♂ (Tsunkuboy)
สำนักพิมพ์ : 新潮社 (Shinchosha)
จำนวนหน้า : 224 หน้า
ราคา : 1300 เยน + ภาษี
สำหรับเล่มนี้เป็น Essay Book ที่ซึงคุซังเขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งกล่องเสียงจนสุดท้ายแล้วเขาเลือกที่จะตัดกล่องเสียงที่เป็นเสมือนชีวิตของนักร้องออกไปเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยในเล่มจะแบ่งเรื่องราวออกเป็นบทๆ ดังนี้
序章 新たな一歩 2015.04 (บทนำ ก้าวแรกก้าวใหม่)
ในบทนี้จะพูดถึงรายละเอียดและความรู้สึก รวมถึงโอกาสครั้งใหม่หลังจากการผ่าตัดแล้ว โดยซึงคุซังได้มีโอกาสไปโปรดิวซ์พิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยคินคิ (近畿大学) (หรือที่เรียกกันว่า คินได) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ซึงคุเรียนจบมา และถือเป็นงานแรกหลังจากผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียงสำเร็จ ทำให้ในตอนนี้เขาไม่สามารถจะเปล่งเสียงพูดออกมาได้อีกต่อไป โดยเล่าถึงความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นก่อนการขึ้นเวทีไปปรากฏตัวต่อหน้านักศึกษาใหม่ รวมถึงข้อความที่ได้กล่าวต่อหน้านักศึกษาใหม่ ณ ที่นั้นทุกคนด้วย
ในคลิปจะมีการแสดงของ KINDAI GIRLS ที่ออกมาร้องและเต้นเพลง Koko ni Iruzee! ของ Morning Musume และตัวซึงคุที่ออกมาปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับข้อความเหล่านั้นค่ะ
第一章 最後のステージ 2013.08 - 2014.02 (เวทีสุดท้าย)
ในบทนี้จะพูดถึงช่วงเวลากับวง Sharan Q ในฐานะนักร้องนำ กับไลฟ์ทัวร์ครบรอบ 25 ปีของวง ซึงคุซังในฐานะนักร้องนำกำลังมีปัญหาใหญ่คือ "เสียงไม่ออก" และ "ร้องเพลงไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน" ซึ่งในฐานะแบนด์แมน ในฐานะนักร้องนำแล้วถือเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจมาก เพราะการแสดงของวงร็อคนั้นจะเล่นสด ร้องสด ซึ่งสภาพเสียงที่แย่ลงนี้ส่งผลต่อการแสดงเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งสภาพเสียงแย่ลงเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นแผลในจิตใจของซึงคุมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเลิกดูรายการเพลงต่างๆในทีวีไปเลย เพราะไม่อยากเห็นภาพวงอื่นๆที่เดบิวต์ช่วงไล่เลี่ยกันแต่ยังคงทำกิจกรรมและร้องเพลงได้เหมือนปกติธรรมดา
ในตอนแรก ซึงคุซังคิดว่าอาจเป็นเพราะผลจากการทำงานหนักที่ผ่านมาจนเสียงผิดปกติหรือเปล่า เสียงเปลี่ยนไปตามกาลเวลาหรือเปล่า เคยไปให้หมอตรวจดูแล้ว หมอเองก็ลงความเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร และนิสัยที่ทำร้ายคออย่างการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ทำแล้ว ทำให้ตัวซึงคุเองชะล่าใจ คิดว่าอาจเป็นเพราะวัย และพยายามถูไถกับเสียงร้องที่ผิดปกตินั้นไปได้จนจบทัวร์คอนเสิร์ตโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าทัวร์คอนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ร้องเพลงด้วยเสียงของตัวเอง
คลิปเสียงร้องเพลงในช่วงนั้นกับเพลง Single Bed เพลงฮิตของวง
แต่แล้ว ด้วยอาการที่แย่ลงเรื่อยๆหลังจบทัวร์คอนเสิร์ตจนรบกวนถึงชีวิตประจำวันและการทำงาน ทำให้ซึงคุซังรู้สึกว่านี่มันผิดปกติ จึงไปตรวจอีกครั้งด้วยวิธีการตัดชิ้นเนื้อที่งอกออกมาในลำคอไปตรวจ และคราวนี้ก็ได้พบว่าตัวเองนั้นเป็นโรค "มะเร็งกล่องเสียง" ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถร้องเพลงได้อย่างที่เคย
เพลง Single Bed เวอร์ชั่นต้นฉบับ
第二章 終わりのない悪夢 2014.02 - 2014.10 (ฝันร้ายที่ไม่จบสิ้น)
หลังจากซึงคุทราบผลว่าตัวเองเป็นมะเร็งแล้ว ในหัวตอนนั้นที่คิดคือตัวเองจะตายไหม แล้วครอบครัวล่ะ ลูกล่ะ ถ้ารักษาไม่หายจะทำยังไงล่ะ ซึ่งจากผลการตรวจทำให้ทราบว่าตอนนั้นอยู่ในระยะ T2 แล้ว ซึ่งโรคมะเร็งกล่องเสียงนี้ถือเป็นมะเร็งแบบที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้ารักษาอย่างทันท่วงทีก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ ซึ่งซึงคุซังเองก็กลับมาคิดทีหลังว่า ในตอนแรกตัวเองคิดว่าไปตรวจรักษากับโรงพยาบาลใหญ่ และหมอลงความเห็นว่าไม่ผิดปกติและเลือกที่จะเชื่อหมอ ทั้งที่ร่างกายตัวเองกำลังฟ้องอยู่ชัดๆว่าเป็นอะไรแน่ๆ จริงๆแล้วควรหา Second Opinion หรือ Third Opinion ด้วย แต่ตัวเองกลับชะล่าใจไม่ทำแบบนั้น แต่ก็เลือกที่จะไม่โทษใคร ไม่มีใครผิดในเรื่องนี้ เพราะตัวหมอเองก็เป็นมนุษย์ที่มีสิทธิ์จะวิเคราะห์ผิดพลาดได้เช่นกัน และถึงจะโทษไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา ในตอนแรก ซึงคุซังและภรรยาได้เลือกจองการรักษาแบบปกติกับทางโรงพยาบาลไว้ แต่ก็ตระเวณหาที่อื่นที่จะช่วยรักษาอย่างเร็วที่สุดและกระทบกับเส้นเสียงน้อยที่สุด จนกระทั่งได้ไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เพื่อนแนะนำมาให้เข้ารับการบำบัดที่เรียกว่า Tomotherapy ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งโดยการฉายรังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง และมีผลกระทบกับเส้นเสียงน้อยกว่าการรักษาแบบอื่น ทำให้ซึงคุซังเลือกที่จะรักษาด้วยวิธีนี้ หลังจากเข้ารับการบำบัดและต้องทนทรมานกับผลข้างเคียงจากการฉายรังสี ในที่สุดหมอก็บอกว่าเซลล์มะเร็งหมดไปแล้ว รักษาได้หายขาดแล้ว หลังจากนี้อาจจะยังมีผลข้างเคียงจากการรักษาขอให้อดทนสักนิด ทำให้ครอบครัวของซึงคุโล่งใจ และประกาศออกสื่อไปว่าตอนนี้มะเร็งกล่องเสียงของซึงคุซังนั้น "หายขาดแล้ว"
แต่ทว่า ผลข้างเคียงของการรักษากลับยาวนานจนน่าแปลกใจ ซึงคุซังยังคงไปฟอโลว์อัพกับทางโรงพยาบาลเรื่อยๆ แต่ผลในตอนนั้นก็ยังออกมาว่าปกติ แต่ทำไมเสียงกลับแย่ลงกว่าเดิม แถมการหายใจต่างๆก็เริ่มมีปัญหา เริ่มมีเสียงฟี้ๆ แปลกๆออกมากับการหายใจ ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ สุดท้ายซึงคุซังจึงตัดสินใจกลับไปตรวจมะเร็งด้วยวิธีการตัดเนื้อเยื่อออกไปตรวจอีกครั้ง
การตรวจในครั้งนี้ใกล้กับช่วงที่ Morning Musume จะบินไปเล่นคอนเสิร์ตที่นิวยอร์คพอดี ซึ่งตอนแรกซึงคุซังก็ตัดสินใจจะพาครอบครัวไปดูไลฟ์ที่นิวยอร์ครวมถึงพาลูกไปเที่ยวด้วย แต่ในระหว่างที่รอผล หมอก็โทรมาบอกในตอนที่กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางว่า ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้ไม่แนะนำให้บินไปนิวยอร์ค ขอให้อยู่รอฟังผลที่ญี่ปุ่นดีกว่า ซึ่งตัวภรรยาเองก็ทัดทานเช่นกันว่าฟังหมอเถอะ แต่ซึงคุเองก็บอกว่า ขอผมเอาแต่ใจสักครั้งเถอะนะ ขอบินไปนิวยอร์คเถอะ จนสุดท้ายภรรยาก็อนุญาตแบบไม่เต็มใจนักและคอยดูอาการอย่างเป็นห่วงตลอดเวลา
จนเมื่อไปถึงนิวยอร์คแล้ว หมอก็โทรมารายงานผลการตรวจชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็ง ขอให้บินกลับญี่ปุ่นไปพบหมอโดยเร็วที่สุด ทำให้ซึงคุซังตัดสินใจบินกลับหลังดูไลฟ์มอร์นิ่งจบทันที และยกเลิกกำหนดการที่จะพาครอบครัวเที่ยวทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ซึงคุซังก็คิดว่าการมานิวยอร์คครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า เขาได้รับรู้ว่ามีคนที่รักในผลงานของเขา ได้เห็นมอร์นิ่งในมุมที่ต่างออกไปจากตอนอยู่ในประเทศ และมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับมะเร็งเพื่อครอบครัวอันเป็นที่รักด้วย
第三章 仕事漬けの日々 1992-2006 (วันเวลาที่จมปลักอยู่กับงาน)
ในบทนี้จะเล่าเรื่องการใช้ชีวิตของตัวซึงคุเองย้อนกลับไปในช่วงที่เริ่มเข้าวงการ มีชื่อเสียง และชีวิตที่วนเวียนอยู่กับการทำงาน ทั้งในช่วงของการเป็นนักร้องนำวง Sharan Q ที่พยายามเพื่อให้มีชื่อเสียงขึ้นมา ชีวิตในช่วงที่วงกำลังดังสุดๆ จนกระทั่งมาถึงชีวิตในช่วงของการเป็นโปรดิวเซอร์ของ Hello! Project ว่าใช้งานร่างกายไปหนักหนาสาหัสขนาดไหน ด้วยความเป็นคนบ้างานก็จะรับงานทุกที่ แทบจะกินนอนในรถในระหว่างเดินทางจากที่หนึ่งเพื่อไปงานอีกที่หนึ่ง ด้วยความที่ซึงคุซังเป็นนักร้องนำและถือเป็นตัวแทนของวง ทำให้เขาต้องออกรับหน้าทำอะไรหลายๆอย่างมากมาย ซึ่งผลจากการโหมทำงานหนักก็ฟ้องออกมาทางร่างกาย หลายครั้งที่มีอาการป่วย แต่ตัวซึงคุเองก็ไม่สนใจ คิดถึงแต่งานเป็นสำคัญ เรียกได้ว่าพอป่วยปุ๊ปก็วิ่งไปหาหมอ ขอยา และบอกหมอว่าทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองกลับมาทำงานได้ เรียกได้ว่าชีวิตอยู่กับการเทคยา วิตามิน และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
ถึงแม้หลังจากนั้นเมื่อความนิยมของวงตกลงและซึงคุซังมารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับมอร์นิ่งและ H!P แล้วก็ตาม วงจรเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป ซึงคุซังจะผลักดันตัวเองว่าต้องเขียนเพลงให้ได้เท่านี้ ต้องทำเพลง ทำดนตรี อัดเสียงร้องไกด์ เช็คชุด เช็คเอ็มวี และทำทุกอย่างเองด้วยตัวคนเดียวเพราะยังไม่ไว้ใจใครคนอื่นมากพอที่จะให้ทำ อย่างงานอัดเสียงร้องไกด์ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็จะให้มืออาชีพอัดให้ แต่ซึงคุซังเลือกที่จะทำเองทุกเพลง แต่ด้วยความที่เป็นเพลงผู้หญิงและเทคโนโลยีในสมัยนั้นยังไม่เอื้อเท่าปัจจุบัน ทำให้ซึงคุซังต้องร้องเพลงคีย์สูงกว่าปกติสำหรับเด็กผู้หญิง และใช้งานคอในแบบเรียกได้ว่าอาจจะหนักกว่าช่วงที่ยังเป็นแบนด์แมนเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ร่างกายประท้วงแต่ซึงคุซังก็ยังใช้ชีวิตที่วนเวียนอยู่กับงาน งาน งาน จนไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและเสียงที่เริ่มแย่ลง จนหลังๆเมื่อรู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่ได้ดั่งใจ ทำให้ซึงคุซังหลีกเลี่ยงที่จะร้องเพลง
หลังจากนั้น จะเป็นเรื่องราวของการพบกับภรรยาของซึงคุจนกระทั่งแต่งงานกัน โดยซึงคุซังได้เจอหน้าภรรยาครั้งแรกจากภาพที่โพสต์ไว้ในเว็บไซต์รายการของเพื่อนที่รู้จักซึ่งทำงานอยู่ที่ฟุคุโอกะ ซึ่งคุซังจึงได้ติดต่อไปหาเพื่อนเพื่อขอคอนแทคและเริ่มสานสัมพันธ์กับภรรยาจนกระทั่งได้แต่งงานกัน
第四章 守るべきもの 2006 - 2011 (สิ่งที่ควรปกป้อง)
ในบทนี้หลักๆจะพูดถึงเรีื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวว่าภรรยาดูแลซึงคุซังอย่างไร และซึงคุซังที่ทำแต่งานมาตลอดเวลาก็ได้รู้จักกับความรัก ความเข้าใจ และความเอื้ออาทรที่ภรรยามีให้และรับรู้ได้ถึงความสุข ภรรยาของซึงคุนั้นเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตในหลายๆเรื่อง คอยดูแลเรื่องสุขภาพ ทำอาหารดีๆให้กิน เรียกได้ว่าพอแต่งงานมา ชีวิตที่เคยเทคยา เทควิตามินแบบแทบจะอาบต่างน้ำก็หมดไป ภรรยาของซึงคุเข้ามาคอยช่วยดูแลเรื่องสารอาหาร คอยดูแลในช่วงที่ซึงคุมีอาการลมพิษติดต่อกันยาวนานจนกระทั่งดีขึ้นและหายสนิท และเปลี่ยนวิธีคิดรวมถึงมุมมองของซึงคุในหลายๆอย่างไปด้วย
นอกจากภรรยาแล้วก็ยังมีลูกของซึงคุอีกที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อมีลูกเพิ่มขึ้นมาให้รับผิดชอบ เขาเริ่มจัดการตารางงานให้มีช่องว่าง จะได้ใช้เวลากับภรรยาและลูกให้มากขึ้น รวมถึงพยายามช่วยภรรยาเลี้ยงลูกเป็นอย่างดี ด้วยความที่ลูกคนแรกของครอบครัวเป็นแฝดชายหญิง ทำให้ซึงคุซังได้ตระหนักว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย และเต็มใจที่จะช่วยภรรยาดูแลลูกอย่างเต็มที่
第五章 永遠の別れ 2014.10 - 2015.04 (การจากลาชั่วนิรันดร์)
ในท้ายที่สุดแล้ว หมอก็แนะนำว่าการรักษามะเร็งกล่องเสียงในครั้งนี้ให้หายขาด ควรต้องตัดกล่องเสียงทั้งสองข้างออกไป เพราะในตอนนี้เป็นสเตจ T3 แล้วหลังจากผ่านมาไม่กี่เดือน ซึ่งซึงคุซังเองก็เลือกแล้วว่าตัวเองจะยอมทิ้ง "เสียง" ซึ่งเป็นเหมือนจิตวิญญาณอีกส่วนหนึ่งของตัวเองไป เพราะเขายังอยากอยู่กับครอบครัว ยังอยากเห็นลูกเติบโต และถึงแม้เขาจะไม่สามารถร้องเพลงได้อีกต่อไปแล้ว เขาก็ยังมีคนที่จะร้องเพลงในส่วนของเขาให้ อย่างน้อยในตอนที่สั่งลากันด้วยเสียงของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจผ่าตัด ลูกสาวก็บอกกับเขาว่า เธอจะร้องเพลงแทนในส่วนของปะป๊าให้เอง และยังมีคนที่รักในผลงานของเขา อย่างที่เขาได้เห็นจากตอนไปดูไลฟ์มอร์นิ่งที่นิวยอร์คก่อนหน้านี้ด้วย ดังนั้นจึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อโดยไร้เสียง แทนที่จะยอมอยู่กับเสียงและจากไปพร้อมกับมัน หลังการผ่าตัด ทั้งซึงคุเองและครอบครัวก็ได้รับกำลังใจจากครอบครัวและเพื่อนร่วมวงการมากมาย มีภรรยาที่คอยดูแลเอาใจใส่ให้เขาได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ มีม.คินไดที่รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ก็ยังไว้วางใจให้เขาโปรดิวซ์งานปฐมนิเทศของมหาวิทยาลัยให้ รวมถึงมีกำลังใจจากวง TOKIO ที่สละเวลาช่วงปลายปีมางานโฮมปาร์ตี้และร้องเพลงให้ในวันครบรอบ 10 ปีของทั้งคู่อีกด้วย ด้วยน้ำใจเหล่านี้ทำให้ซึงคุซังกลับมาตระหนักถึงความสนุกและสิ่งที่ได้จากดนตรีขึ้นมาอีกครั้ง
終章 未来へ続く扉 2015.04 - (ประตูเชื่อมไปสู่อนาคต)
ในท้ายที่สุดแล้ว ซึงคุซังก็ได้ข้อสรุปจากประสบการณ์ในครั้งนี้ และให้เหตุผลในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาว่า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับโรคร้าย รวมถึงให้เชื่อเสียงจากร่างกายของตัวเอง ไม่อยากให้ฝืนตัวเองจนสายเกินแก้ และสรุปสั้นๆส่งท้ายว่า "僕は妻を愛している。子供たちを愛している。だから、生きる。(ผมรักภรรยา รักพวกลูกๆ ดังนั้นจึงมีชีวิตอยู่)"
นานๆทีเราจะอ่านหนังสือแนว Essay Book สักที เลยตัดสินใจว่าสำหรับเล่มนี้เราเล่าเรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดไปเลยก็แล้วกัน ด้วยความที่ทุกอย่างในเล่มมันเกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าตัดไปก็จะยิ่งงงกว่าเดิม เลยพยายามเล่าแบบย่อๆเท่าที่จะทำได้ค่ะ
อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าซื้อเล่มนี้มาเพราะเป็นเรื่องราวของซึงคุซัง โปรดิวเซอร์ที่เราเคารพในผลงานคนนึงนั่นเอง จริงๆแล้วคือเราซื้อเล่มนี้มาตั้งแต่ตอนพิมพ์ช่วงแรกๆเลยค่ะ ตรงกับช่วงที่เราไปอยู่ญี่ปุ่นพอดี แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้อ่านให้จบ เพิ่งจะได้หยิบมาอ่านจริงจังเอาก็ตอนนี้นี่เอง ซึ่งพอมาอ่านตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า หนังสือเล่มนี้อ่านไม่ยาก ซึงคุซังเรียบเรียง เรียงร้อยทุกอย่างได้ไหลลื่น อ่านง่าย ไม่รู้สึกว่าเขียนบรรยายมาแบบยัดเยียดเลย ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบนะ แบบแกไม่ได้อวดอ้างหรือโม้เหม็นเรื่องงานอะไรขนาดนั้น เป็นเหมือนการแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกของแกจริงๆ อย่างผลงานเพลงของแกก็เคยฟังผ่านหูมา พอยิ่งมาอ่านและกลับไปดูเรื่องราวในตอนนั้นอีกทีเราก็ยิ่งอิน และเหมือนได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างไปพร้อมๆกับแกด้วยค่ะ
ในส่วนของภาษา ด้วยความที่เราพอจะรู้เรื่องอาการของซึงคุซังมาก่อนหน้านี้แล้ว และพอรู้เรื่องผลงาน ชีวิตอะไรหลายๆอย่างของแก ทำให้เรารู้สึกว่าเล่มนี้อ่านไม่ยากเลย อาจจะมีมึนๆนิดหน่อยบ้างตรงศัพท์ที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไม่เข้าใจ เลยอ่านไปได้เรื่อยๆ ด้วยความที่เนื้อหาเรียบเรียงมาดี มีจุดพักเป็นระยะๆ เลยอ่านจบได้ไวกว่าที่คิดไว้ตอนแรกด้วยค่ะ
ถ้าใครต้องการกำลังใจ เราว่าเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มนึงที่น่าจะให้กำลังใจในการต่อสู้และช่วยให้เราค้นหาความหมายในชีวิตได้ ซึงคุซังอาจไม่ใช่ผู้ชายที่เพอร์เฟกต์หรือน่าเอาอย่างในหลายๆเรื่อง อย่างการปฏิบัติกับภรรยาในช่วงแรกเองเราอ่านแล้วก็มีเอ๊ะๆบ้างแหละตามประสาผู้ชายญี่ปุ่น แต่โดยรวมแล้วพอเห็นว่าแกเปลี่ยนความคิดทีหลังและเริ่มให้เวลากับภรรยามากขึ้นเลยทำให้เราไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับแกค่ะ
เล่มนี้เขียนยาวมากเลย ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ แล้วพบกันใหม่กับรีวิวเล่มหน้าค่ะ
0 Comments