[TRANS]【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 07 Ito Chiaki


     สวัสดีค่ะ ในที่สุดโปรเจ็กต์แปลบทสัมภาษณ์เดี่ยวของสมาชิก AAA จากหนังสือ AAA Pia ก็เดินทางมาถึงจี้จังเป็นคนสุดท้ายแล้วค่ะ (ปรบมือรัว) รอบนี้เป็นโปรเจ็กต์แปลบทสัมภาษณ์ที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำมา แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างเหมือนกัน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ สำหรับโปรเจ็กต์หน้า เรายังไม่สัญญาว่าจะเปิด แต่ถ้ามีโอกาสก็คงได้พบกันอีกเร็วๆนี้ค่ะ (ฮา)

     ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บ http://realsound.jp เจ้าเก่ารายเดิมด้วยนะคะ ส่วนการแปลก็เหมือนกับที่แล้วๆมา คือเน้นแปลตามความเข้าใจของตัวเองและพยายามปรับให้ภาษาอ่านง่ายและลื่นไหลมากที่สุดค่ะ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้
 
AAA ทั้ง 7 คนได้ผ่านปีที่ 10 และมุ่งสู่เวทีต่อไปและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น ซึ่งในจุดเปลี่ยนนี้เราจะมองย้อนถึงงานในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง “10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10 ปีหลังจากนี้” จะเป็นการเล่าแบบเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของแต่ละคน ทั้งการพบกันกับดนตรี ออดิชั่น การฝึกซ้อมอันหนักหน่วง เดบิวต์ และจุดเปลี่ยนมากมายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลังจากนั้นกับการมองไปยังอนาคต รวมถึงความทุกข์ทรมานหรือความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปหนึ่งเดียว ซึ่งอยากให้ได้ฟังกันถึงความรู้สึกของสมาชิก AAA ที่สามารถเล่าให้ฟังได้ในเวลานี้

【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 07
Ito Chiaki



怖いもの知らずでいろんなことに飛びつくパワーがあった
มีพลังที่จะกระโจนเข้าไปในหลายๆเรื่องโดยไม่หวาดกลัว

**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**


---ตั้งแต่ปีที่แล้วน่าจะมีโอกาสได้ย้อนนึกถึง 10 ปีที่ผ่านมามาก พอได้สัมผัสแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
    ส่วนที่ได้สัมผัสนั้นมีมากจนฉันตระหนักขึ้นมาในใจว่า “อยากจะทำให้สมกับที่ครบรอบ 10 ปี!” ซึ่งจะใช้คำพูดของตัวเองในการสัมภาษณ์ค่ะ

---ก่อนอื่น อยากถามเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของอิโตซังว่าได้พบกับดนตรีในลักษณะใด?
    ฉันสนใจจริงๆเป็นครั้งแรกตอนที่ได้ดู MV “SURREAL” ของ Ayumi Hamasaki ตอนประมาณม.2 ค่ะ เพราะในตอนนั้นต่างกับตอนนี้ที่ไม่สามารถค้นหาจากอินเตอร์เน็ตได้ ฉันเลยเฝ้าเช็ครายการเพลงอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะอยากดูให้ได้ แล้วก็ไปร้านคาราโอเกะมี MV ฉายค่ะ แต่ว่าฉันไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าอยากทำงานด้านดนตรีหรืออยากเป็นคนในวงการบันเทิง เพียงแค่ว่า ตั้งแต่ตอนที่เริ่มรู้ความก็สนใจเอามากๆแล้วก็คิดว่า “ไม่ชอบที่จะต้องเดินไปแค่บนเส้นทางที่กำหนดไว้แล้ว” คือฉันเป็นคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 3 คนน่ะค่ะ พอคุยกับแม่แล้ว แม่ก็บอกว่า “มีแค่ลูกที่ตั้งใจจะหนีออกจากบ้านล่ะสินะ” (หัวเราะ)

---ตอนนี้พอย้อนกลับไปมองในสมัยนั้นแล้ว?
    คิดว่า เพราะฉันเป็นลูกคนสุดท้องเลยต้องถูกปกป้องแน่ๆน่ะค่ะ ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆก็จะมีใครสักคนคอยช่วยเหลือแน่นอน… เพราะมีความรู้สึกประมาณนั้นอยู่นี่ล่ะ ถึงได้เรียกว่าทำให้มีพลังที่จะกระโจนเข้าไปในหลายๆเรื่องโดยไม่หวาดกลัว ต้องขอบคุณครอบครัวและคนรอบตัวนะคะ

---แล้วเรื่องราวทั้งหมดที่มาเข้ารับการออดิชั่นของ avex นั้นเป็นอย่างไร
    ช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนตอนม.6 ฉันซื้อนิตยสาร “Popteen” ที่ Ayumi Hamasaki ซังขึ้นปก แล้วก็มีประกาศออดิชั่นค่ะ ฉันสนใจอันนี้ด้วยก็เลยเอาให้แม่ดู แล้วแม่ก็บอกว่า “ถ้านานๆอย่างหยุดฤดูร้อนนี่ก็ไปลองดูสักครั้ง ถ้าตกจริงจังก็กลับมา” “ตัวแม่ก็รู้ตรงนั้นอยู่แล้ว ก็ใช้โอกาสนั้นแหละ แล้วก็พยายามกับเรื่องเรียนด้วยนะ” (หัวเราะ) พอไปออดิชั่นจริงๆแล้วก็ผ่านค่ะ

---คุณแม่คงจะตกใจนะ (หัวเราะ)
    ตอนแรกสงสัยค่ะ (หัวเราะ) ฉันเองก็รู้สึกว่า “อยากจะทำอย่าง Ayumi Hamasaki” “อยากใส่ชุดน่ารักๆขึ้นไปยืนบนเวที” ไม่ได้คิดถึงเรื่องหลังจากนั้นเลย

---จะว่าไป ได้ใช้การแสดงแบบไหนในการออดิชั่นหรือ?
    แน่นอนว่าต้องมีการพิจารณาด้านการร้องเพลงหรือการแสดงอยู่แล้ว ที่ฉันจำได้แม่นคือหัวข้อที่ว่า “จงแสดงความสามารถพิเศษ” ตัวฉันไม่มีอะไรที่เป็นความสามารถพิเศษเลย ดังนั้นจึงได้ปรึกษากับแม่ แล้วแม่ก็บอกว่า “เต้นนารุโกะโอโดริไปก็ได้” (หัวเราะ) ฉันเลยใส่ฮัปปิ ถือ “นารุโกะ” ที่มีเสียงแกรกๆไปเต้น คือเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านของนาโงย่าน่ะค่ะ ฉันเต้นแจ๊ซแดนซ์หรือฮิปฮอปไม่เป็น เครื่องดนตรีก็เล่นไม่ได้ เลยคิดว่า “ก็มีแค่อันนี้ไม่ใช่หรือไง” ฉันอายสุดๆ เต้นไปแบบหน้าแดงแปร๊ดเลยค่ะ หลังจากนั้นพอถามคนที่เป็นคนพิจารณา ก็บอกว่า “ท่าทีที่หน้าแดงสุดๆแล้วพยายามเต้นอย่างเต็มที่นั่นน่ะดีนะ” นี่เพราะฉันฟังความเห็นของแม่สินะคะ (หัวเราะ)

---พอผ่านการออดิชั่นในเดือนกรกฎาคม 2004 แล้ว หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 ปี 6 เดือนก็ได้เข้า AAA
    ถึงจะผ่านการออดิชั่นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เดบิวต์หรือเปล่าน่ะค่ะ ซึ่งตรงนั้นสตาฟฟ์ก็เข้ามาบอกว่า “จริงๆแล้วมีวงที่ชื่อว่า AAA ตอนนี้สมาชิกกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ กำลังหาสมาชิกผู้หญิงอีกหนึ่งคน จะลองดูไหม?” แน่นอนว่าฉันตอบไปว่า “จะพยายามค่ะ!”

---ในตอนแรกนั้น การไล่ตามสมาชิกนี่ก็ลำบากสินะ
    ฉันไม่มีช่วงเวลาที่ได้ฝึกซ้อมจริงจัง ทั้งร้องทั้งเต้นไม่ได้สักนิดเลยค่ะ แต่อาจารย์ก็บอกว่า “จะให้เต้นกับสมาชิกไม่ได้เด็ดขาดตราบใดที่สกิลของเธอยังไล่ตามไม่ทัน”

---นั่นคือความกดดันสินะ
    จากตรงนั้น ทำให้ฉันซ้อมเต้นต่อเนื่องด้วยความเร็วที่เหมือนกับกำลังวิ่งไล่ตามอย่างสุดกำลังจริงๆค่ะ จำลองกระทั่งไลฟ์ ขนาดน้ำก็ไม่ได้ดื่ม เป็นแบบนั้นทุกวัน หลายเดือนหลังจากนั้น ในที่สุดก็ได้ซ้อมรวมกับสมาชิกค่ะ ถึงจะดีใจมากก็ตาม แต่ก็คิดว่ายังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ถึงหัวใจเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่การที่ได้ฝึกซ้อมอย่างหนักนั้น แน่นอนว่าความรู้สึกตอนที่ได้ดู MV เพลง “SURREAL” ครั้งแรกก็ยังหลงเหลืออยู่ เลยคิดว่า “จะต้องผ่านไปให้ได้ เพราะฉันจะไปยังโลกใบนั้น!”

---หมายความว่าสมาชิกคนอื่นๆก็เริ่มเคลื่อนไหวในฐานะวงไปแล้วสินะ
    เพราะเป็นแบบนั้นถึงได้ลำบากมากค่ะ อุตส่าห์กำหนดการแสดงในฐานะวงเอาไว้แล้ว พอกลายเป็นว่า “จะเพิ่มเข้ามาอีกคน” ลักษณะการเต้นก็ต้องเปลี่ยนไป แล้วฉันที่เข้ามาทีหลังก็ยังสร้างความลำบากให้อีกอย่าง ก่อนอื่นเลยฉันคิดว่า ต้องเข้าไปในนั้นให้ได้ เพราะมีคนที่ร้องเพลงได้และเต้นได้มากกว่าฉันอยู่อีกมาก เลยคิดว่าถ้าไม่ได้รับการยอมรับจริงจังแล้วล่ะก็คงจะต้องตกไปน่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกที่ว่า “เพราะได้เลือกเราเข้ามาแล้ว จะทำให้ผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด” ก็แรงมากค่ะ



---ความประทับใจเกี่ยวกับสมาชิกในเวลานั้นเป็นอย่างไร
    จำได้ว่าทุกคนยิ้มให้กันแล้วก็เป็นมิตรค่ะ แล้วก็พอคิดว่าจะเข้าไปอย่างไรดี ลีดเดอร์ (อุราตะ) ก็บอกว่า “ถึงจะเป็นวงแบบนี้ก็เถอะ แต่ขอฝากด้วยนะ!” นิชชี่ (นิชิจิม่า) ก็ประมาณว่า “เรียกผมว่านิชชี่นะ!” (หัวเราะ) อุโนะจังก็เข้ามาคุยตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าว่า “ถึงจะมีอะไรหลายๆอย่าง แต่มาพยายามไปด้วยกันนะ” แต่ละคนเข้ามาคุยด้วยทีละนิด ซึ่งลักษณะของแต่ละคนก็ออกมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ

---น่าสนใจนะ อันนี้ก็ถามทุกคนเหมือนกัน พอสมาชิกที่มีความเป็นตัวของตัวเองจริงๆมารวมตัวกันแล้ว การจะก้าวเดินไปพร้อมกันนี่ยากใช่ไหม?
    นั่นสินะคะ เพราะฉะนั้นถึงได้คิดว่า “คนที่มีลักษณะเฉพาะตัวทั้ง 7 คนจะทำกิจกรรมร่วมกันอย่างไร” มากกว่า “จะรวมกันอย่างไร” น่ะค่ะ โดยเฉพาะในช่วงแรกนั้น พอแบ่งออกเป็นแผน A กับแผน B แล้ว ทุกคนจะอยากแสดงความคิดเห็นของตัวเองแล้วไม่รับฟังความเห็นของคนอื่น แต่ตอนนี้จะคอยฟังความเห็นของคนรอบข้างอย่างตั้งใจและบอกว่า “เอาข้อดีของทั้งคู่มาแล้วทำเป็นแผน C ดีไหม?” คือมีท่าทีที่ตั้งใจจะสร้างผลงานดีๆค่ะ การที่ไม่ “รวม” เข้าเป็นหนึ่งเดียวด้วยการฝืน แต่หยิบเอาข้อดีของแต่ละคนมา “ใส่ไว้ด้วยกันในที่เดียว” นั้นสมกับที่เป็น AAA ค่ะ

---ถ้ามองจากอิโตซังแล้ว ผลงานที่เป็นจุดเปลี่ยนของ AAA คือ?
    แน่นอนว่าต้องเป็น “Aitai Riyuu” (ปี 2010) ที่คุณ Tetsuya Komuro มาทำเพลงให้ค่ะ เรียกว่าได้รีเซ็ทสิ่งที่พวกเราทำมาจนถึงตอนนั้นอีกครั้งในความหมายที่ดี ทั้งยังเป็นผลงานชิ้นแรกหลังการกลับมาของโคะมุโระซังด้วย ก็เลยมีสื่อมาทำข่าวมากมาย และเป็นปีที่ได้ไปขึ้นงานขาวแดงด้วยค่ะ ในความหมายนั้นฉันเลยคิดว่าเป็นช่วงเวลาของก้าวใหม่อีกก้าวค่ะ

---เรียกว่าเป็นสาเหตุนึงที่ได้ก้าวไปอีกก้าวในฐานะศิลปิน หากพูดในทางกลับกันแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความบาดหมางกันมาจนถึงตอนนั้นเลยสินะ
    นั่นสินะคะ ในช่วง 1 - 2 ปีแรกนั้นยังถูกมองว่าเป็นหน้าใหม่ แล้วงานที่มีบริษัทคอยเป็นแบ็คอัพให้ก็เยอะ แต่ว่า หลังจากนั้นแล้วก็ต้องพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของพวกเราไม่ใช่หรือคะ ดังนั้น ช่วงปีที่ 3 - 4 นี่เลยเป็นช่วงที่ค่อนข้างลำบากน่ะค่ะ เพราะเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปแบบผสมชายหญิงเลยไม่มีตัวอย่างใกล้ตัวเลย จนถึงตอนนั้น ถึงฉันจะเงียบแต่ก็มีงาน ซึ่งนั่นก็มีส่วนที่สตาฟฟ์ต้องพยายามช่วยอยู่มาก ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า “เอาล่ะ ถ้าตัวเองทำอะไรสักอย่างแล้วก็คงจะทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้นสินะ?”

---ซึ่งนั่นก็รวมถึงในฐานะส่วนตัวด้วยสินะ
    ใช่แล้วค่ะ คือรู้สึกตัวขึ้นมาว่า ถ้าฉันไม่แสดงถึงสิ่งที่ตัวเองทำได้มาตั้งแต่แรกออกไปให้ชัดๆแล้วล่ะก็ สตาฟฟ์ก็จะไม่รู้ว่าควรจะให้ฉันทำอะไรดีน่ะค่ะ (หัวเราะ) ดังนั้นฉันเลยบอกออกไปดีๆเลยว่า “ฉันชอบแฟชั่น ความสวยความงาม และการแต่งหน้าค่ะ!”

---เรียกได้ว่าเป็นปี 2010 ที่ความพยายามเช่นนั้นออกผลไปพร้อมกับได้เพลงดีๆมาด้วยสินะ
    นั่นสินะคะ ในฐานะส่วนตัวด้วย ช่วงนั้นพอดีว่าได้เกลี้ยกล่อมทั้งสตาฟฟ์และสมาชิก ขอจัดการเรื่องสไตล์ลิสต์ด้วยตัวเองน่ะค่ะ แล้วก็บอกว่าเพื่อไม่ให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะเอาของตัวเองมา เพราะจะรีดเองค่ะ! ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมจำได้ว่า “เป็นคนที่สนุกสนานกับแฟชั่นได้ทุกครั้งเลยนะ” แล้วแฟนๆที่บอกว่า “ชอบการแต่งหน้า” ก็เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

---การเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ในการทำกิจกรรมของ AAA ที่ไม่ใช่กิจกรรมเดี่ยวนั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากหรือ
    ความกล้าเป็นสิ่งสำคัญเพราะหมายความว่าต้องเปลี่ยนกฏที่มีมาจนถึงตอนนั้นได้น่ะค่ะ แต่ว่า เพราะฉันเองก็ต้องการแบบนั้นด้วย ถ้าทำให้คนรอบข้างเข้มแข็งเพราะไว้ใจได้แล้ว นั่นก็อาจทำสิ่งดีๆขึ้นมาได้ก็จริง แต่สิ่งยิ่งกว่าการหลีกหนีสิ่งที่ “ถ้าทำอันนี้แล้วจะดูไม่ดี!” คือ ถ้าไม่มีทีท่ากระตือรือร้นว่า “ถ้าทำอันนี้แล้วก็เท่ดีไม่ใช่หรือ” มันก็ใช้ไม่ได้ค่ะ

---ความสนใจที่อิโตซังมีมาตั้งแต่แรกเริ่มและสิ่งที่เรียกว่าพลังที่จะทำนั้นก็เป็นตัวอย่างที่แสดงออกได้อย่างเด่นชัดในวงนะ ซึ่งแน่นอนว่าในการทำกิจกรรมส่วนตัวนั้นก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้วย
    ใช่แล้วค่ะ เพราะชอบเรื่องความงามและแฟชั่นก็เลยได้ทำเครื่องสำอางค์และน้ำหอมด้วยตัวเอง ถ้ามีโอกาส ฉันก็อยากให้ส่งไปถึงบรรดาคนต่างชาติที่ชอบความ “น่ารัก” ของญี่ปุ่นด้วยค่ะ

---การแสดงบนเวทีนั้น ใน 10 ปีนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?
    ช่วง 1 - 2 ปีแรกนั้นจะมีความรู้สึกว่า “อยากทำให้เท่” อยู่มากค่ะ แต่ว่าพอเข้าปีที่ 3 - 4 ก็ทำด้วยความรู้สึกเพียงแค่นั้นไม่ได้แล้ว อย่างเช่น ให้ความสนใจกับความเห็นมากมายบนอินเตอร์เน็ต แล้วก็ไม่มีความมั่นใจด้วย เพราะงั้นตอนที่รีบร้อนว่า “ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้” ก็เลยบาดเจ็บค่ะ

---ได้รับบาดเจ็บระหว่างถ่ายทำ เลยไม่สามารถขึ้นไลฟ์ได้สินะ
    ใช่แล้วค่ะ ทั้งที่เป็นช่วงเวลาที่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงแล้วแท้ๆกลับไม่สามารถขึ้นไปยืนบนเวทีได้ เลยร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบไม่มีเหตุผลว่า “จะใส่เฝือกสวยๆไปขึ้นแสดง!” ด้วยค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่ามันจะรบกวนคนรอบข้าง สุดท้ายเลยไม่ได้ขึ้นค่ะ เพราะงั้น ตอนที่กำลังจิตตก สมาชิกก็เลยโทรมาหาในช่วง MC ของอังกอร์ในวันแสดงไลฟ์วันแรก แล้วก็ให้ได้ฟังเสียงเชียร์ของบรรดาแฟนๆที่อยู่ตรงนั้นด้วย ฉันดีใจ เจ็บใจ และรู้สึกขอบคุณจริงๆจนร้องไห้ออกมาอีกรอบเลย จากนั้น ไลฟ์จึงกลายเป็นสถานที่ที่ฉันไม่อยากจะห่างออกมาโดยเด็ดขาด และฉันก็เลิกทำตัวงอแงอย่าง “ใครสักคนจะมาช่วยฉัน” หรือ “โชคเข้าข้างฉัน” ไปเลยค่ะ

---ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นอย่างไร?
    อย่างเช่น ดูแลสภาพร่างกายของตัวเองอย่างดีที่สุดค่ะ ถ้าไม่ดูแลร่างกายให้ดีแล้วล่ะก็จะขึ้นไปยืนบนเวทีไม่ได้ ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดในการกินอาหารและเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มกำลังกายค่ะ มีเวลาที่รู้สึกแย่นะคะ แต่ก็สบายกว่าการไม่ได้ขึ้นไปยืนบนเวทีค่ะ

---อิโตซังคิดอย่างไรเกี่ยวกับ AAA ต่อจากนี้ไป
    ให้ความสำคัญกับ “การอยู่ด้วยกัน 7 คน” มากกว่า “อยากทำเรื่องแบบนี้” ค่ะ ฉันว่าถึงจะได้ท้าทายกับสิ่งที่น่าสนใจ แต่ถ้าไม่ใช่ 7 คนแล้วก็ไม่มีความหมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เชื่อมต่อไปยังแฟนๆที่มาสนุกสนานด้วยกันด้วยค่ะ

---อย่างนี้นี่เอง เป็นบรรยากาศที่ดีที่ไม่ใช่แค่คำว่า “เพื่อนสนิท” สินะ
    อาจมีที่ทุกคนคิดว่า “เลิกกันเถอะ!” และจากนี้ก็อาจจะมีด้วยก็ตาม แต่ตอนที่พวกเรา 7 คนยืนอยู่บนเวทีนั้นแข็งแกร่งมากๆเลยนะคะ ปกติเราไม่มีแบ็คแดนเซอร์ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบนเวที แน่นอนว่าเราทั้ง 7 คนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ปกติถึงไม่ค่อยได้คุยอะไรกันแต่ความรู้สึกของกลุ่มก้อนนั้นสุดยอดมากค่ะ จากนี้ไปก็อยากยืนอยู่บนเวทีกับสมาชิกกลุ่มนี้ตลอดไปค่ะ

---สุดท้ายนี้ สำหรับอิโตซังแล้ว AAA นั้นมีอยู่ในลักษณะไหน
    ถ้าเป็นคำพูดล่ะก็ น่าจะเป็นคำธรรมดาอย่าง “เพื่อนพ้อง” ค่ะ ถึงในช่วงหนึ่งฉันจะตอบว่า “การมีอยู่ที่เหมือนครอบครัว” ก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นทั้งครอบครัว เพื่อน หรือคนรักค่ะ (หัวเราะ) แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าสมาชิกมีเรื่องอะไรก็อยากจะรีบไปหาทันที และจากนี้ไปก็อยากจะเดินหน้าไปด้วยกัน เป็นเพื่อนพ้องที่สำคัญมากค่ะ




Post a Comment

0 Comments