สวัสดีค่ะ ในที่สุดบทสัมภาษณ์เดี่ยวของเราก็เดินทางมาถึงคนที่ 6 แล้ว นั่นคือชูวตี้ของเรานั่นเองงง หลังจากที่วุ่นๆกับชีวิตส่วนตัวช่วงก่อนกลับไทย+ขี้เกียจ (ฮา) ในที่สุดก็เข็นตัวเองให้กลับมาแปลต่อจนได้ค่ะ อีกประเด็นคือนิยายที่เขียนจากบทสัมภาษณ์เดี่ยวของ AAA ใกล้จะออกแล้ว เราเลยอยากรีบปิดโปรเจ็กต์นี้เผื่อตัวเองจะอยากแปลตัวนั้นด้วย (ซึ่งยังไม่รับปากอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้หนังสือมาอ่านนะคะ)
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บ http://realsound.jp เจ้าเก่ารายเดิมด้วยนะคะ ส่วนการแปลก็เหมือนกับที่แล้วๆมา คือเน้นแปลตามความเข้าใจของตัวเองและพยายามปรับให้ภาษาอ่านง่ายและลื่นไหลมากที่สุดค่ะ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
10 ปีจนถึงตอนนี้ และอีก 10
ปีหลังจากนี้
AAA ทั้ง 7 คนได้ผ่านปีที่ 10
และมุ่งสู่เวทีต่อไปและก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น
ซึ่งในจุดเปลี่ยนนี้เราจะมองย้อนถึงงานในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง “10 ปีจนถึงตอนนี้
และอีก 10 ปีหลังจากนี้” จะเป็นการเล่าแบบเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของแต่ละคน
ทั้งการพบกันกับดนตรี ออดิชั่น การฝึกซ้อมอันหนักหน่วง เดบิวต์
และจุดเปลี่ยนมากมายที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลังจากนั้นกับการมองไปยังอนาคต
รวมถึงความทุกข์ทรมานหรือความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเพอร์ฟอร์แมนซ์กรุ๊ปหนึ่งเดียว
ซึ่งอยากให้ได้ฟังกันถึงความรู้สึกของสมาชิก AAA
ที่สามารถเล่าให้ฟังได้ในเวลานี้
【AAAぴあ】MEMBER INTERVIEW 06
Sueyoshi Shuta
Sueyoshi Shuta
多くのことに真剣に取り組んで、愛情を注ぐのが大事
(จัดการกับเรื่องมากมายอย่างจริงจัง การทุ่มเทความรักลงไปคือสิ่งสำคัญ)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**
(จัดการกับเรื่องมากมายอย่างจริงจัง การทุ่มเทความรักลงไปคือสิ่งสำคัญ)
**ห้ามนำบทแปลไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต**
สมัยมัธยมต้น ตอนที่ผมไปเล่นสเก็ตบอร์ดกับเพื่อนที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ก็มีทีมเต้นเบรกแดนซ์อยู่ในที่เดียวกันด้วย ซึ่งการแสดงที่ดึงดูดสายตานั้นเป็นสาเหตุครับ คือผมถูกใจเข้าอย่างจังตอนได้เห็นการหมุนตัวด้วยศีรษะ แล้วก็คิดว่า “สุดยอด!” “นี่คือการเต้นอย่างนั้นหรือ!” จากนั้นผมก็ดูแล้วเลียนแบบด้วยการเอาฟูกในบ้านมารวมๆกันแล้วก็ตึงๆตังๆอยู่กับตัวเองครับ (หัวเราะ)
---นั่นคือแรงกระตุ้นในช่วงแรกสินะ
เริ่มจากที่ตั้งใจให้เป็นงานอดิเรก แต่ก็ค่อยๆจริงจังมากขึ้น เพราะที่บ้านเกิดในซาเซโบะ (จังหวัดนางาซากิ) มีฐานทัพอเมริกาอยู่ด้วย พอผมออกไปเต้นที่สวนสาธารณะแล้วคนอเมริกาก็เข้ามาร่วมด้วยและบอกว่า “ให้ผมเต้นด้วยนะ!” จากนั้นก็เต้นแบบ 3 on 3 แล้วก็ได้พูดคุยกับคนมากมายผ่านการเต้น ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ผมถลำลึกเข้ามาน่ะครับ อืม แต่เพราะในตอนนั้นการเต้นไม่ได้เป็นวิชาบังคับในโรงเรียนเหมือนสมัยนี้ ก็เลยค่อนข้างจะหาคนพูดคุยด้วยได้ยากน่ะครับ
---นิสัยแอคทีฟนี่มีมาตั้งแต่สมัยเด็กเลยใช่ไหมนี่?
ตั้งแต่สมัยเตรียมอนุบาลเลยครับ (หัวเราะ) อย่างในงานแสดง ถ้าเด็กคนอื่นตีลังกาล้อเกวียนได้สวยแล้วมีคนปรบมือให้ล่ะก็ ตัวผมจะทำสองรอบ คือเป็นพวกเกลียดความพ่ายแพ้น่ะครับ แต่ว่าก็ยังมีความรู้สึกละอายใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง ก็เลยไม่ชอบและอายกับการแสดงละครหรือละครเพลงในชั่วโมงเรียนหรืองานแข่งกีฬาครับ พอเป็นแบบนั้นผมเลยไม่ได้เริ่มอะไรเอง แต่เพราะผมเริ่มเต้นก็เลยน่าจะทำให้ส่วนที่ต่อต้านการออกไปยืนต่อหน้าผู้คนมันหายไปอย่างสิ้นเชิง เพราะการเต้นนั้นไม่ต้องใช้คำพูด ก็เลยสามารถเป็น “ห่วง” ที่เชื่อมให้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันและเป็นเพื่อนกันได้ ซึ่งนั่นคือสเน่ห์อย่างมากเลยครับ
---มีคนที่เป็นเป้าหมายให้เริ่มเต้นอย่างจริงจังอยู่หรือเปล่า?
ไมเคิล แจ็กสันครับ ผมได้ดูวีดีโอเพลง “Billie Jean” ที่แสดงใน MTV Award แล้วก็โดนเข้าอย่างจังเลยครับ พอเข้า AAA แล้วก็ได้เต้นตีลังกามากกว่าเบรกแดนซ์ แล้วก็รู้ว่าต้องร้องเพลงด้วย ในความหมายนั้นผมเลยให้การแสดงของเขาเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งและดู DVD มากมายเลยครับ
---เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการออดิชั่นที่จะได้มาเป็น AAA นั้นเป็นอย่างไร?
ผมได้ยินจากคนรู้จักว่า “รู้สึกว่า avex จะเปิดออดิชั่นนะ” แต่ใจจริงแล้วไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เข้าออดิชั่นครับ คือผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเข้าวงการบันเทิงเอาไว้เป็นพิเศษ คืออยากทดสอบความสามารถของตัวเอง ถ้าตกก็ตก เพราะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่จะใช้พิจาณาตัวเองด้วยน่ะครับ ดังนั้นพอยื่นออดิชั่นแล้วเอกสารกับวีดีโอที่ยื่นพิจารณาผ่าน ผมก็ได้เข้าโตเกียวมาเพื่อทดสอบความสามารถจริง แล้วก็แสดงให้กลุ่มประธาน (มาซาโตะ) มัตสึอุระดูครับ พอจบตรงนั้นแล้วผมก็ได้เข้าค่ายฝึกซ้อม ประมาณนี้ครับ
---จะว่าไป รายละเอียดในค่ายฝึกซ้อมเป็นแบบไหน?
กินเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ในแต่ละฤดู มี 3 ช่วงคือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูหนาว โดยจะซ้อมวนไปเรื่อยๆครับ ทุกวันจะมีวิ่งประมาณ 4 - 5 กม. และขัดเกลาความสามารถพื้นฐานซึ่งรวมถึงการแสดงและการร้องเพลงด้วยครับ แล้วก็จะมีการเช็คความสามารถกันตรงนั้น เรียกว่าเป็นระบบการคัดเลือกคนที่จะเรียกคนที่ได้รับการประเมินสูงเข้ามาที่โตเกียวน่ะครับ
---แน่นอนว่าสุเอโยชิซังก็ถูกเรียกเข้ามาที่โตเกียวด้วย จนถึงตอนนั้นจากที่มีแค่การเต้นอย่างเดียว ไม่รู้สึกขัดแย้งที่ต้องมีการแสดงและการร้องเพลงเพิ่มขึ้นมาด้วยเลยหรือ
ผมแทบจะหายไปในการศึกษาเรื่องการเต้นเลยครับ ผมได้ลองการเต้นที่หลากหลายทั้งแบบร็อกหรือแบบเต้นตีลังกาที่ไม่ใช่แค่เบรกแดนซ์อย่างเดียว คือเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆจนไม่ชอบการแบ่งแยกไปเลย ผมอยากสร้างท่าเต้นในแบบของตัวเอง เพราะอย่างนั้นการรับเอาทุกอย่างไว้แบบจริงจังและใส่ใจกับสิ่งนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งรวมถึงการแสดงและการร้องเพลงด้วยครับ ถ้าพูดกันตรงๆ ในตอนแรกผมไม่ชอบการร้องเพลง แต่ในระหว่างที่ทำก็จริงจังขึ้นมากเรื่อยๆครับ คือผมคิดแบบนี้กับทุกอย่าง ไม่ได้จำกัดแค่การเต้นและการร้องเพลงเท่านั้น เพราะการจะพัฒนาขึ้นนั้น สิ่งสำคัญคือก่อนอื่นต้องชอบและใส่ใจกับมันน่ะครับ
---ในระหว่างเข้าค่ายหรือตอนฝึกซ้อม มองสมาชิกคนอื่นอย่างไร?
แน่นอนว่าก็ต้องเป็นคู่แข่งสิครับ ในตอนนั้นเป็นความรู้สึกมัวๆประมาณว่า “ใครจะตกไปเมื่อไหร่ก็ไม่แปลก” คือมีความกังวลอยู่น่ะครับ ตัวผมเองรู้สึกว่า “ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องชนะ” เพราะงั้นเวลาพักก็เลยใช้การเต้นที่ตัวเองถนัดมาสกัดคนรอบข้าง (หัวเราะ) ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็เป็นเด็กๆเนอะครับ จริงๆแล้วเพราะยังเด็กอยู่ด้วย เลยมองอุราตะที่อายุมากเป็นพี่ชายแบบสุดๆเลยครับ
---ความในใจตอนที่มีคำสั่งว่าจะตั้ง AAA นั้นเป็นอย่างไร?
ผมตกใจที่ผิดจากที่คาดไว้ เพราะคิดไปเองว่าน่าจะเป็นวงที่มีผู้ชาย 2-3 คนน่ะครับ แต่ความรู้สึกที่ว่าอย่างไรเสียก็อยากจะเดบิวต์ให้ได้นั้นมันแรง ก็เลยตอบกลับไปทันทีแบบไม่คิดเลยว่า “ทำครับ!” ซึ่งในระยะแรกนั้น ด้วยความที่มีจำนวนคนเยอะ แถมยังเป็นแบบผสมชายหญิงด้วยก็เลยกังวล ถึงสตาฟฟ์จะบอกว่า “วันที่คิดว่าดีแล้วล่ะที่ทำแบบนี้จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน” ก็ตาม แต่มันไม่เข้าหูผมเลยครับ แต่ว่า ในตอนนี้จริงๆแล้วก็รู้สึกว่า “อา เป็นแบบนั้นจริงๆด้วยสินะ” อยู่บ่อยเลยครับ (หัวเราะ)
---สิ่งที่ในตอนแรกต่อต้าน แต่พอทำแล้วโอเคในอาชีพนี้นั้นมีมากไหม
มีมากจนนับไม่ถ้วนเลยครับ เรื่องที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำเป็นพิเศษคือสตรีทไลฟ์ที่เล่นในสวนโยโยงิก่อนเดบิวต์ พวกเราบอกบรรดาคนที่อุตส่าห์หยุดยืนดูพวกเราว่า “จากนี้ไปจะเดบิวต์ครับ!” และแจกสติ๊กเกอร์ แต่ก็ถูกทิ้งเอาไว้ตรงนั้นเลยครับ เพราะมีความเจ็บใจแบบนั้นถึงได้มีตอนนี้ พอทำต่อมาเรื่อยๆก็ค่อยๆมีผู้ชมเพิ่มขึ้นมาทีละคน และรู้สึกได้ถึงปฏิกริยาตอบกลับที่ค่อยๆขยายเพิ่มเป็น 5 คน 10 คนครับ
---จากตรงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
จริงๆแล้วตัวผมในสมัยตั้งวงนี่ค่อนข้างจะทะเลาะกับสมาชิกทุกคนบ่อยๆน่ะครับ (หัวเราะ) เพราะยังเป็นเด็ก เก็บเอาแต่เรื่องไร้สาระไว้ แล้วก็เคยเถียงกับนิชิจิม่าที่อยู่หอพักเดียวกันด้วย แน่นอนว่าถ้ามีแค่ผู้ชายก็คงต่อยกันแล้วจับมือแน่นๆคืนดีกันก็จบ แต่เพราะมีสมาชิกผู้หญิงอยู่ด้วยก็เลยไม่เคยทำอะไรรุนแรงถึงขั้นนั้นครับ (หัวเราะ)
---คือมีช่วงเวลาที่เคยไม่พอใจอยู่ด้วย
ใช่แล้วครับ แต่ว่าถ้าตัวเองไม่เริ่มเปิดแล้วก็จะทำให้อีกฝ่ายเปิดใจด้วยไม่ได้ แล้วตัวเองก็จะไม่เปลี่ยนไปด้วย คนอื่นเองก็จะเข้าหาไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ พอคิดแบบนั้นแล้วก็เลยเข้าไปเคาะประตูหัวใจของสมาชิกแต่ละคนอย่างเต็มที่ แล้วก็ค่อยๆเปิดใจครับ ซึ่งนั่นไม่ใช่แค่กับสมาชิกเท่านั้น ผมต้องจำลองสถานการณ์และพูดออกไปโดยคิดว่า “ตอนที่(อีกฝ่าย)ถูกพูดแบบนี้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคู่สนทนาจะคิดอย่างไร”
---ช่วงเวลาไหนที่ทำให้เริ่มคิดแบบนี้
สิ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นในช่วงแรกคือตอนที่ห่างจากพ่อแม่มาแล้วหลายเดือนครับ คือคิดว่า “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย” ในสภาพที่ยังขอให้ช่วยส่งเงินมาให้ใช้อยู่ พอซ้อมไปเรื่อยๆจนเริ่มชิน ทั้งความรู้สึกขอบคุณและความสดใหม่ก็จางลง ผมจึงคิดว่าตัวเองต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างแล้ว ในระหว่างที่สมาชิกแต่ละคนต่างก็ทำเรื่องเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ก็ทำมาจนถึง 10 ปี ทั้งได้ทำงานที่น่าขอบคุณ ถึงแม้สมาชิกทุกคนจะมีกิจกรรมส่วนตัวด้วยก็ตาม แต่ AAA นั้นกลายเป็นสิ่งที่ใช้เป็น “สถานที่ซึ่งสามารถกลับมาได้” ไปแล้วครับ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกด้วยกันก็เปลี่ยนเป็นระยะห่างที่ดีขึ้นทีละนิด และต่างฝ่ายต่างรับรู้และเปิดใจให้กันและกันด้วย
---คือต่างฝ่ายต่างก็เคารพซึ่งกันและกันสินะ
ในช่วงแรกนี่ก็เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็จะเด่นน่ะครับ (หัวเราะ) คือสมาชิก AAA เนี่ยทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และเป็นกลุ่มที่รวมเอาพวกอยากเด่นไว้น่ะครับ แต่ว่า ผมว่านั่นก็มีข้อดี ซึ่งผมว่าแปลกที่ไม่มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยสนับสนุนกันแบบนี้มันน่าจะดีกว่าใช่ไหมล่ะครับ
---พอนึกย้อนกลับไปถึงกิจกรรมของ AAA จนถึงตอนนี้ คิดว่าจุดเปลี่ยนนั้นอยู่ที่ตรงไหน
อันนี้ก็มีเยอะนะครับ… ผมคิดว่าทุกสิ่งที่ได้เจอมาในฐานะของวง ในฐานะส่วนตัวมาจนถึงตอนนี้ทำให้มีตอนนี้ การจะเลือกมาสักอันก็ยากอยู่ครับ ถ้าจะพูดถึงล่ะก็ แน่นอนว่าคือตัวคำพูดที่ถูกบอกตอนก่อตั้งวง AAA ว่า “จะต้องทำงานร่วมกับสมาชิกเหล่านี้” นั้นสำคัญที่สุดครับ ผมว่ามันคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่จากตรงนั้น ถ้าไม่มีตรงนั้นแล้วก็คงไม่ได้ไปยืนในบุโดคังหรือเวทีงานขาวแดงครับ
---อย่างนี้นี่เอง แล้วตัวสุเอโยชิซังนั้น หลังจากนี้ตั้งเป้าหมายในฐานะ AAA ไว้อย่างไรบ้าง
ในฐานะ AAA นั้น อยากให้คนมาดูไลฟ์ ได้ฟังเพลง และเป็นที่รู้จักมากยิ่งๆขึ้นไปครับ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็คงจะมีโอกาสอีกหลายอย่างเข้ามามากขึ้น ถ้ามีคนที่ยอมรับเพิ่มขึ้นได้นั่นคือที่สุดครับ
---วงที่ชื่อ AAA นั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้างนะ หมายความว่ายังคิดว่าเป็นที่จดจำน้อยอยู่อย่างนั้นหรือ
ผมไม่เคยคิดว่า AAA นั้น “ขายได้” เลยแม้แต่น้อยครับ ถ้าตัดสินไปว่าประสบความสำเร็จแล้วด้วยตัวเองก็จบสิครับ แน่นอนว่า “Koioto to Amazora” นั้นมีคนรู้จักมากมาย ได้ไปแสดงในงานขาวแดงแล้วด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่แค่เพียงกำลังของพวกเราเท่านั้น เพราะพวกเราเองหากไม่มีแฟนๆก็คงไม่มีความหมายที่จะมีอยู่ จริงๆแล้วต้องขอบคุณคนรอบข้างครับ ที่คอยเข้าใจในสิ่งที่พวกเราได้ทำมาและสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ไป รู้สึกดีใจที่มีคนมากมายรับในสิ่งที่พวกเราเป็นได้ ตัว AAA เอง พอคิดถึงตอนตั้งวงแล้วก็เปลี่ยนไปมากทั้งทิศทางของวง ทั้งสตาฟฟ์ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายก็จริง แต่ก็อยากให้คอยเฝ้าดูพวกเราในตอนนี้ที่ได้ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมา 10 ปีด้วยครับ อยากให้ผลงานแพร่ไปในวงกว้างมากขึ้นและมีคนที่คิดว่า “AAA นี่ดีจังเลยนะ” เพิ่มขึ้นมาอีกสักคนครับ
---ในจุดนั้น ไลฟ์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆสินะ
แน่นอนครับ แฟนของ AAA นั้น คนที่รู้จักจากไลฟ์มากกว่าจากโทรทัศน์น่ะครับ ซึ่งมีคนที่ตามมาตลอดตั้งแต่สมัยสตรีทไลฟ์ และค่อยๆรู้ว่า “มีวงแบบนี้อยู่ด้วยนะ” ผ่านทางการแสดงในไลฟ์ครับ คนที่มาดูก็ช่วยกระจายไปในกลุ่มเพื่อน แล้วผู้ชมก็เพิ่มต่อกันเป็นลูกโซ่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ พอทำแบบนั้นแล้วก็ได้เติบโตขึ้นในฐานะวง สถานที่จัดก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น ผมว่า “AAA เป็นวงที่ขึ้นอยู่กับไลฟ์” จริงๆครับ
---การได้สื่อสารกับแฟนๆโดยตรงก็เป็นเรื่องใหญ่สินะ
ใช่แล้วครับ เพราะแบบนั้นนี่ล่ะ ผมเลยคิดว่าไม่ว่าสถานที่จัดจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม ก็อยากจะย่นระยะห่างระหว่างเรากับแฟนๆด้วยการปล่อยพลังที่มีทั้งหมดออกมาอย่างเต็มที่ครับ งานเดี่ยวของแต่ละคนเองก็สามารถทำได้เพราะมี AAA ผมอยากจะเป็นสมาชิก AAA ไปเรื่อยๆตราบเท่าที่ตัวเองยังทำงานได้ครับ
---ถือเป็นวงในอุดมคติที่มีสมาชิกที่คิดแบบนั้นได้มารวมกันอยู่เลยนะ
ผมก็คิดแบบนั้นครับ จากนี้ไปก็อยากจะให้ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกด้วยกันเป็นไปแบบเอาใจใส่ครับ ในบทสนทนาปกติก็จะประมาณว่า “จะออกอัลบั้มเดี่ยวนะ งั้นจะไปดูไลฟ์นะ” แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไปดูไลฟ์เดี่ยวของกันและกัน ไปกินข้าวด้วยกันแต่ไม่ไปดื่มด้วยกัน ซึ่งความสัมพันธ์ประมาณนี้กำลังพอดีครับ คืออยากให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปแบบไม่เกาะกันแน่นจนน่าเกลียด และทั้งสองฝ่ายคุยกันได้ว่า “ดูแล้วนะ” “ฟังแล้วนะ” น่ะครับ
---แม้แต่การร้องเพลงที่ในตอนแรกไม่ชอบ และแน่นอนว่าการเต้นที่ในตอนนี้ได้รับการประเมินอย่างสูงจนถูกคาดหวังไว้มากว่าจะทำกิจกรรมเดี่ยวด้วย ซึ่งตรงนี้อยากถามถึงเป้าหมายในฐานะส่วนตัวด้วย
ไลฟ์เดี่ยวตอนเดือนมีนาคมนั้น เพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จากนี้ไปก็เลยอยากจะยิ่งทำให้สมบูรณ์มากขึ้นกว่านี้ครับ เพราะมีคนที่ตั้งความหวังอยู่ด้วย ผมจึงอยากจะพยายามให้มากยิ่งๆขึ้นไปเพื่อตอบสนองความรู้สึกนั้น ไม่ได้เป็นไปแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบ แต่ในอีกแง่ก็บอกได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะหักหลัง จริงๆแล้วทำเพราะอยากให้ยอมรับในตัวผมครับ ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มั่นใจ แล้วถ่ายทอดออกไป จะในฐานะของ AAA หรือในฐานะของงานเดี่ยว ถึงรูปแบบจะต่างกันแต่ความรู้สึกนั้นไม่เปลี่ยนไปครับ
0 Comments