สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวหนังสือนิยายภาษาญี่ปุ่นที่กำลังติดช่วงนี้ค่ะ ก่อนอื่นขอเกริ่นสักนิดว่าโดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากกก ข้อนี้หลายๆคนน่าจะรู้ดี ส่วนหนังสือที่อ่านก็จะเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆตามความชอบในช่วงนั้นว่ากำลังอินกับหนังสือแนวไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะลงเอยอยู่ที่หนังสือภาษาไทยเป็นหลักค่ะ ถึงเป็นหนังสือต่างประเทศก็มักจะอ่านฉบับแปลตลอด ถ้าชอบมากจริงๆถึงค่อยไปตามหาเล่มภาษาต้นฉบับเอาทีหลัง
สำหรับหนังสือนิยายภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อ่านเล่มภาษาไทยมันสะดวกที่สุดแล้ว (ฮา) บวกกับการอ่านนิยายภาษาต่างประเทศต้องใช้เวลามากกว่าปกติในการอ่านทำความเข้าใจ ที่ผ่านมาเคยซื้อหนังสือไว้เหมือนกันนะคะ แต่เป็นเล่มที่เคยแปลไทยแล้วเกือบทั้งหมด คือจะบอกว่าภาษายาก 555555 อ่านได้นิดเดียวก็ต้องวาง บางเรื่องที่ไม่ยากมากแต่เนื้อหาแอบน่าเบื่อก็อ่านๆหยุดๆเลยไม่จบเล่มซะทีก็มีเหมือนกัน
ทีนี้พอมาอยู่ญี่ปุ่น เราไม่ได้แบกหนังสือนิยายภาษาไทยมาด้วยค่ะ จะหาอ่านจากอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้อารมณ์เหมือนการจับหนังสืออ่าน แต่เราก็อยากอ่านอะไรสักอย่างที่นอกเหนือจากหนังสือเรียนกับนิตยสารอยู่ดี สุดท้ายก็มาลงเอยที่ซื้อหนังสือนิยายอ่าน ไลฟ์สไตล์ไม่ต่างกับตอนอยู่ไทยเลย 5555 คือร้านหนังสือที่ญี่ปุ่นมันเป็นสวรรค์สำหรับคนรักหนังสือแบบเรามาก อยู่ในร้านเดินเลือกหนังสือที่ถูกใจได้ทั้งวัน แล้วหนังสือพวกบุงโขะ (文庫) นี่ราคาไม่แพงด้วย รู้ตัวอีกทีก็หยิบไปจ่ายเงินเรียบร้อยค่ะ เมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องอ่านอ่ะนะ ถือเป็นการฝึกภาษาไปด้วยในตัว
เกริ่นมาซะยาวแบบหาสาระอะไรไม่ได้เลย เข้าเรื่องค่ะ สำหรับหนังสือที่จะมาแนะนำในวันนี้ชื่อ Omachishitemasu Shitamachi Wagashi Kurimarudou (お待ちしてます 下町和菓子 栗丸堂) ถ้าแปลเป็นภาษาไทยตรงตัวคือ “ขอประทานโทษที่ให้รอ ร้านคุริมารุโด ขนมญี่ปุ่นแห่งชิตะมะจิ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับร้านขนมญี่ปุ่นเก่าแก่ที่ชื่อ “คุริมารุโด (栗丸堂)” ในย่านอาสะกุสะค่ะ
(หน้าปกเล่มแรก ภาพจากเว็บ amazon)
ชื่อเรื่อง : お待ちしてます 下町和菓子 栗丸堂 (Omachishitemasu Shitamachi Wagashi
Kurimarudou)
ผู้เขียน : 似鳥航一 (Koichi Nitori)
สำนักพิมพ์ : メディアワークス文庫 (Media Works Bunko) KADOKAWA
จำนวนหน้า : 243 หน้า
ราคา : 550 เยน + ภาษี
ตอนแรกที่เลือกหยิบเล่มนี้มาเพราะสะดุดกับภาพหน้าปกสวยๆและชื่อหนังสือที่เกี่ยวกับขนมญี่ปุ่น
โดยส่วนตัวเป็นคนชอบกินขนมญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ลองอ่านคำโปรยปกหลังเนื้อหาก็ดูไม่หนักมาก
และเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีชื่อเสียงในระดับนึงด้วย
(ดูจากการจัดดิสเพลย์ในร้านหนังสือ) ก็เลยลองซื้อกลับมาอ่านก่อน 2 เล่ม จากทั้งหมด
4 เล่ม (และน่าจะมีต่ออีก) ผลปรากฏว่า… สนุกมากกกกกกกกกกกกก
คือตอนแรกเรากะอ่านก่อนนอน แต่กว่าจะได้นอนจริงๆคือตอนอ่านบทแรกจบอ่ะค่ะ
เนื้อเรื่องคร่าวๆคือ คุริตะ จิน (栗田仁 = ตัวเอก)
เจ้าของร้านขนมญี่ปุ่นเก่าแก่ในย่านอาสะกุสะ “คุริมารุโด” รุ่นที่ 4
ได้รับสืบทอดร้านต่อจากพ่อแม่ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตกระทันหัน
ตอนแรกคุริตะไม่ได้กะจะรับช่วงร้านต่อและเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ซึ่งพ่อแม่ของคุริตะก็ไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของลูกชายและให้ทำตามใจชอบ
แต่เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต คุริตะไม่สามารถทำใจทิ้งร้านของพ่อแม่ได้
จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยไปเรียนด้านการทำขนมญี่ปุ่น
และกลับมาเปิดร้านคุริมารุโดอีกครั้ง
บทแรกเป็นเรื่องราวของขนม “มาเมะไดฟุกุ (豆大福)”
ขนมขึ้นชื่อของร้านคุริมารุโด โดยวันหนึ่ง เพื่อนสมัยเด็กของคุริตะที่ชื่อ ยูกะ
ได้พา วาตาเบะ
ผู้เคยได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของคุริตะและได้ลิ้มรสมาเมะไดฟุกุแสนอร่อยที่พ่อของคุริตะทำ
ก่อนเจ้าตัวจะจากญี่ปุ่นไปอยู่บราซิลและกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเมื่อ 20 ปีให้หลัง
ซึ่งเจ้าตัวนั้นก็อยากลิ้มรสขนมแสนอร่อยในความทรงจำอีกสักครั้ง
แต่ทว่า รสชาติของมาเมะไดฟุกุที่คุริตะทำนั้นกลับไม่เหมือนรสชาติต้นตำรับแบบที่พ่อเคยทำ ซึ่งคุริตะเองก็ทราบในจุดนี้ดี เมื่อวาตาเบะได้ทานมาเมะไดฟุกุแล้วก็แสดงอาการผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน และบอกว่าขนมที่คุริตะทำนั้น “ไม่ใช่ขนมแบบที่เคยกินเมื่อ 20 ปีก่อน” ทำให้คุริตะคิดหาทางแก้ไขเพื่อให้ได้รสชาติแบบที่คุ้นเคยกลับคืนมา
และในเวลานั้นเอง มาสเตอร์ของร้านกาแฟที่สนิทกันได้แนะนำ อาโออิ (葵 = นางเอก) ให้คุริตะได้รู้จัก โดยอาโออินั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานญี่ปุ่นซึ่งมาช่วยหาทางแก้ไขปัญหาที่คิดไม่ตกของคุริตะ
แต่ทว่า รสชาติของมาเมะไดฟุกุที่คุริตะทำนั้นกลับไม่เหมือนรสชาติต้นตำรับแบบที่พ่อเคยทำ ซึ่งคุริตะเองก็ทราบในจุดนี้ดี เมื่อวาตาเบะได้ทานมาเมะไดฟุกุแล้วก็แสดงอาการผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน และบอกว่าขนมที่คุริตะทำนั้น “ไม่ใช่ขนมแบบที่เคยกินเมื่อ 20 ปีก่อน” ทำให้คุริตะคิดหาทางแก้ไขเพื่อให้ได้รสชาติแบบที่คุ้นเคยกลับคืนมา
และในเวลานั้นเอง มาสเตอร์ของร้านกาแฟที่สนิทกันได้แนะนำ อาโออิ (葵 = นางเอก) ให้คุริตะได้รู้จัก โดยอาโออินั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานญี่ปุ่นซึ่งมาช่วยหาทางแก้ไขปัญหาที่คิดไม่ตกของคุริตะ
บทที่สองเป็นเรื่องราวของ “โดรายากิ (どら焼き)”
โดยคุริตะได้รับเมลปริศนาจากอะซะบะ เรียว เพื่อนคู่ปรับตั้งแต่สมัยประถม
ชวนให้ไปงานเทศกาลของมหาวิทยาลัยโดยไม่บอกจุดประสงค์
ซึ่งคุริตะและอาโออิก็ได้ไปร่วมงานและได้ชิมขนมเบบี้คัสเทลล่าของอะซะบะที่ทำขายในงานเทศกาล
อะซะบะเอ่ยปากว่าตัวเองนั้นเกลียดขนมญี่ปุ่น ทำให้อาโออิบอกกับอะซะบะว่า
“ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ ฉันจะแก้ที่คุณเกลียดขนมญี่ปุ่นให้”
ในบทนี้มีการแข่งขันตอบปัญหาเกี่ยวกับขนมญี่ปุ่นด้วย
ส่วนในบทที่สาม
ซี่งเป็นบทสุดท้ายของหนังสือเล่มแรกนั้นเป็นเรื่องของ “ฮิกาชิ (干菓子)”
หรือขนมญี่ปุ่นแบบแห้ง ซึ่งในบทนี้ได้เจาะจงลงไปที่ขนม “วะซังบง (和三盆)” กล่าวถึงเรื่องของโคฮารุ
พี่สาวแถวบ้านที่คุริตะเคยเล่นด้วยและได้รับความช่วยเหลือมาตลอดตั้งแต่เด็ก
โคฮารุแต่งงานและอาศัยอยู่กับลูกและสามีกำลังประสบปัญหาว่ามีคนท่าทางแปลกๆมาด้อมๆมองๆที่บ้านสักพักแล้ว
ซึ่งคุริตะและอาโออิก็รับอาสาช่วยเหลือโคฮารุ
ปรากฏว่าคนท่าทางแปลกๆนั้นคือพ่อของโคฮารุนั่นเอง
พ่อลูกคู่นี้ผิดใจกัน และต้นเหตุของการผิดใจหนึ่งในนั้นคือขนมวะซังบงที่โคฮารุเกลียดแต่พ่อของเธอกลับคิดว่าเธอชอบ และจุดแตกหักอยู่ที่คำพูดแย่ๆในงานแต่งงานของลูกสาวนั่นเอง ด้วยความที่พ่อของโคฮารุก็เป็นคนหัวแข็งและถือทิฐิทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน คุริตะและอาโออิจึงหาทางแก้ความเข้าใจผิดและความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านขนมวะซังบง
พ่อลูกคู่นี้ผิดใจกัน และต้นเหตุของการผิดใจหนึ่งในนั้นคือขนมวะซังบงที่โคฮารุเกลียดแต่พ่อของเธอกลับคิดว่าเธอชอบ และจุดแตกหักอยู่ที่คำพูดแย่ๆในงานแต่งงานของลูกสาวนั่นเอง ด้วยความที่พ่อของโคฮารุก็เป็นคนหัวแข็งและถือทิฐิทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน คุริตะและอาโออิจึงหาทางแก้ความเข้าใจผิดและความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านขนมวะซังบง
แต่ละบทของเรื่องจะเป็นชื่อขนมญี่ปุ่นที่ปรากฏในตอนนั้นๆ
เนื้อหามีสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับขนมญี่ปุ่น เช่น วิธีทำ ประวัติขนม
หรือประเภทของขนมเอาไว้ด้วย
บรรยากาศของเรื่องก็อยู่ในอาสะกุสะที่เป็นย่านการค้าเก่าแก่และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของโตเกียวที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นญี่ปุ่น
ทำให้ร้านคุริมารุโดกลมกลืนกับสถานที่ไปได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของภาษา ยอมรับว่ามีศัพท์เฉพาะพอสมควร
แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจ
และถ้าอ่านไปเรื่อยๆจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้เองจากบริบท
การดำเนินเรื่องกับจังหวะในการสอดแทรกมุขถือว่าทำได้ดี
อย่างเช่นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุริตะและอาโออิที่คนรอบข้างต่างช่วยกันลุ้นจนตัวโก่งก็ช่วยทำให้เรื่องมีสีสันได้เป็นอย่างดี
สำหรับหนังสือชุดนี้ตอนนี้ออกมาถึงเล่ม 4 แล้ว (ณ
ปัจจุบัน) และคาดว่าคนเขียนน่าจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ ส่วนตัวตอนนี้เพิ่งอ่านเล่มแรกจบ
(ภายในเวลาสองวัน ตกใจตัวเองเหมือนกันที่อ่านจบเร็วขนาดนี้) กำลังจะขึ้นเล่มสองค่ะ
ถ้าใครเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว อ่านเรื่องนี้อยู่
หรือสนใจเรื่องนี้ก็เข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ^^
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
0 Comments