[TRANS] Long Interview Shinjiro Atae

 

(ถ้าใครไม่อยากอ่านที่เราบ่น ข้ามไปอ่านแปลด้านล่างรูปได้เลยค่ะ)


         ห่างหายจากการอัพบล็อกไปเกือบปี วันนี้มาอัพกับเค้าบ้างสักที (?) จริงๆคือตอนแรกกะจะอัพเรื่องไปเที่ยวให้ครบทุกวันก่อนค่อยอัพอย่างอื่น ซึ่งเห็นได้ชัดแล้วว่าไม่สำเร็จค่ะ (ฮา) ช่วงที่หายไปนี่กิจกรรมเยอะมากจริงๆแต่ด้วยความขี้เกียจส่วนตัวก็เลยไม่ได้มาเขียนเล่าสักเรื่อง เอาไปบ่นลงทวิตเตอร์หมดแล้ว หลังๆเลยเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะเขียนอะไรยาวๆไม่ค่อยได้เข้าไปทุกวันๆ ส่วนบล็อกที่อัพบ่อยคือบล็อกแปลเพลงค่ะ บอกให้รู้ว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้หายไปไหนน้า…

         ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา น่าจะอย่างที่หลายๆคนรู้คือตอนนี้เราเริ่มเรียนป.โทแล้ว (แน่นอนว่าก็วนๆอยู่กับภาษาญี่ปุ่นนี่แหละ) ชีวิตค่อนข้างดีมีดราม่ากับตัวเองเกือบทุกวัน ไม่เคยคิดว่าเรียนไปทำงานไปมันจะเหนื่อยมากกว่าที่คิดขนาดนี้ ตอนแรกก็เตรียมใจไว้บ้างนะว่าหนักแน่ แต่พอมาเรียนจริงแล้วคือ โฮววววว สิ่งนี้มันคืออะไรรรรรร เรียนไปแล้วรู้สึกโง่อะไรงี้ = =” แต่ถามว่าชอบไหม ตอบได้เลยว่าชอบค่ะ เรียนสนุก เนื้อหาก็เป็นเรื่องที่เราสนใจอยู่แล้วด้วย มันเครียดตรงที่เรากดดันตัวเองด้วยมากกว่า

         พอกลับมาเรียนใหม่หลังจากทำงานแล้ว ความรู้สึกมันคือเรามองโลกต่างจากตอนก่อนเรียนจบมากกก อะไรที่ไม่เคยทำตอนช่วงเรียนป.ตรีนี่เอามาทุ่มกับป.โทหมดอย่างที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าคนขี้เกียจอย่างเราจะทำ = =” แต่ก็ได้เห็นพัฒนาการตัวเองค่อนข้างชัดกว่าแต่ก่อนนะ อาจเพราะประสบการณ์ทำงานช่วยพัฒนาอะไรในตัวเราหลายๆอย่างขึ้นด้วยล่ะ

 

        หัวบล็อกบอกไว้ว่าจะแปะแปลนี่ก็เวิ่นเรื่องตัวเองซะอย่างนั้น เอาเป็นว่า บทแปลรอบนี้เป็นบทแปลสนองนี๊ดเราล้วนๆค่ะ เนื่องจากเราอ่านบทสัมภาษณ์ตัวนี้ของชินแล้วรู้สึกว่าได้แรงบันดาลใจดี หลายๆอย่างที่ชินคิดตรงกับที่เราคิดและสิ่งที่เราเคยเป็น อ่านไปก็รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองนิดๆ ถึงสภาพการณ์หลายๆอย่างจะต่างกัน แต่ชินกับเราก็เติบโตขึ้นจากประสบการณ์ดีๆที่น่าจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปเหมือนกัน เราเลยอยากให้หลายๆคนได้ลองอ่านดู ถ้าอ่านจะแล้วจะมีคนรู้สึกดีเหมือนที่เรารู้สึกก็จะดีใจมากค่ะ

 

113405362

 

プリント

*ข้อความทั้งหมดเราแปลมาจากส่วนท้ายของหนังสือ Travel & Style BOOK SHINJIRO’S PHOTO 2010-2014 ซึ่งเราซื้อมาเอง ห้ามให้เอาไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเราโดยเด็ดขาด*


LONG INTERVIEW SHINJIRO ATAE
「僕が海外に行く理由」

"เหตุผลที่ผมไปต่างประเทศ”

 

          14 กันยายน 2005 เดบิวต์ในฐานะ AAA เด็กชายอาตาเอะผู้ขึ้นมาโตเกียวตอนอายุ 15 นั้นมีวันเวลาที่โหดร้ายเกินกว่าที่เคยคาดไว้รอคอยอยู่ หัวใจถูกไล่ต้อนจากความเป็นจริงที่มักจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้จนคิดกระทั่งว่า "อยากจะออกจาก AAA” ในระหว่างที่หงุดหงิดใจนั้น ชาวอเมริกาคนหนึ่งซึ่งเขาได้พบก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่แท้จริงที่ไม่เคยเปิดเผยมาตลอดจนถึงตอนนี้ ตอนนี้เรามาลองฟังกันอย่างเงียบๆกันเถอะ

 

ความขมขื่นมันมากเกินไป 

         ผมเข้า Avex ตอนอายุ 14 แล้วขึ้นมาที่โตเกียวตอนอายุ 15 จริงๆแล้วผมคิดว่าจะเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่เกียวโตด้วย แต่เพราะอยากจะไล่ตามความฝันก็เลยตัดสินใจไปโตเกียว เริ่มจากการหาโรงเรียนมัธยมปลาย แล้วชีวิตใหม่ของผมก็เริ่มต้นขึ้น เพราะผมไม่รู้อะไรเลย ในตอนแรกก็เลยไปพักอยู่กับพี่ชายที่ขึ้นมาโตเกียวเพราะเรียนมหาวิทยาลัย ในช่วงที่เข้ารับการฝึกซ้อม ผมต้องทำอาหารซักผ้าเองครับ ทุกวันพอเลิกเรียนก็ซ้อม เสาร์อาทิตย์ก็อัดเสียงไม่ก็เล่นสตรีทไลฟ์ หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปีครึ่งก็เดบิวต์ในฐานะ AAA ถึงจะไปถึงจุดนั้นแล้วทุกวันก็ยังขมขื่น ดังนั้นพอเดบิวต์แล้วก็เลยคิดว่ามันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงน่ะครับ แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย

          เพราะสมาชิกในวงก็เยอะแล้วทุกคนก็ยังเด็ก ก็เลยมีความรู้สึกว่าเป็นคู่แข่งกันเต็มที่ ผมเองนั้นก็ไม่ได้ร้อง ได้แค่เต้นอย่างเดียว ซึ่งแม้แต่ในทีวีหรือ PV คนร้องก็ยังเป็นจุดเด่นมากกว่าคนที่เป็นแดนเซอร์ ถ้าพูดแบบนั้นแล้ว ข้างในตัวผมเองก็รู้ว่าตัวเองร้องเพลงไม่ได้ เลยเก็บความหงุดหงิดใจที่ไม่ได้ขึ้นไปยืนแถวหน้าเอาไว้

 

เคยคิดว่าตัวเองนั้นคือที่หนึ่ง

          ตอนนี้พอคิดๆดู จริงๆแล้วผมไม่ได้เลิศเลอเลยแท้ๆ แต่ตัวผมตอนเด็กนั้นกลับมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า "ทั้งที่ตัวเองสุดยอดขนาดนี้ ทำไมทุกคนถึงไม่ยอมรับผม" เพราะผมคิดเอาแต่ใจตัวเองน่ะครับ จนถึงตอนนั้นก็เลยไม่พยายาม แล้วในตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งในวง ก็เลยหงุดหงิดที่ต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ออกไปยืนข้างหน้าหรือเป็นจุดสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น สตาฟฟ์ที่เคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกันเองก็ทำให้ผมคิดไปแบบนั้นด้วยคำพูดและท่าทีดีๆ หากเป็นในตอนนี้ก็คงคิดว่านั่นมันแปลก แต่เพราะผมยังเด็กพอมีคนพูดดีๆด้วยก็เลยพยายามพูดว่า "จะทำครับ!" แต่สุดท้ายแล้วตัวเองที่พูดสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้ดีในชีวิตก็มีอยู่ไม่มาก แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวแล้วก็หงุดหงิดว่า "ทำไมถึงทำไม่ได้ดีล่ะ ทั้งที่ก็ทำตามที่บอกแล้วแท้ๆ!" จริงๆแล้วก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากความคิดในแง่ลบครับ

          จะพูดว่าสนิทกับสมาชิกไหมก็สนิทนะ แต่เพราะทุกคนยังเด็กก็เลยไม่มีการพูดเปิดใจกัน เราคุยกันในที่ทำงานก็จริงแต่มีความรู้สึกว่าไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้นคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าพวกเรามารวมตัวกันจากความชอบของพวกเราเอง แต่เป็นวงที่บริษัทสร้างขึ้นมาจากการออดิชั่น ดังนั้นในช่วงแรกจึงรู้สึกว่าความสัมพันธ์เป็นแบบคู่แข่งกันมากกว่าเป็นสมาชิก

          เมื่อวันเวลาเช่นนั้นผ่านไป ก็ทำให้ผมไม่ชอบคนอื่นขึ้นมา ช่วงอายุ 10-19 ปีนั้นโดยพื้นฐานแล้วผมไม่อยากจะพูดคุยกับผู้คนครับ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าหน้าตาดูไม่เป็นมิตรเลยยิ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นคนหยิ่งๆ เคยโดนแฟนๆบอกว่าคนคนนี้ไม่พูดเลยนะด้วยครับ ดังนั้นก็เลยโดนสตาฟฟ์ในช่วงนั้นบอกว่าทำตัวหยิ่งนี่ไม่ดีนะบ้าง ทำตัวดีๆหน่อยสิอยู่บ่อยๆ หรือตั้งใจหน่อยสิ ความมั่นใจในตนเองที่ผมไม่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอมันกลายเป็นแบบนี้ไปก็เลยเกิดความรู้สึกว่า "อยากออกจาก AAA"

 

ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง

          มีเรื่องใหญ่อยู่หนึ่งเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าผมรู้สึกเช่นนั้น แต่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ทับถมอยู่ในจิตใจ... อย่างเช่นตำแหน่งการยืนแม้แต่พวกการให้สัมภาษณ์ลงนิตยสาร ผมจะถูกกำหนดให้ยืนริมอยู่เสมอ รู้อยู่ว่ามันเป็นการเรียงลำดับถ่ายภาพก็จริงแต่ผมไม่ชอบ ถ้าเป็นในตอนนี้จะคิดถึงความต้องการของงานนั้นๆด้วยตัวของพวกเราเอง เช่น "นิชชี่ ข้างหน้านะ" บ้าง "ชินจิโร่ อย่าไปอยู่ข้างหน้านะ" ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อุโนะจังกับจิอากิจะอยู่ข้างหน้าและผู้ชาย 5 คนอยู่ข้างหลังบ้าง เอาจริงๆคืออยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ในเวลานั้นผมไม่ได้คิดแบบนี้ ผมจะตอบโต้คำพูดเหล่านั้นกลับไปทุกคำ แล้วก็ชอบพูดว่า "อันนี้อีกแล้วเรอะ..." พอเผลอคิดว่าตั้งใจจะออกจาก AAA ไปแล้วครั้งนึงก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมา ตอนให้สัมภาษณ์เคยไม่แต่งหน้าด้วยครับ แล้วก็พูดไปว่า เพราะยังไงก็ไม่ถ่ายผมอยู่แล้วให้อยู่ริมตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ได้นะ

          เคยคิดว่าแม่จะเป็นคนที่คอยรับฟังเรื่องคนแรก แต่พอเกลียดคนอื่นขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นว่าไปกับครอบครัวได้ไม่ดีเหมือนเดิม ถึงจะเคยสนิทกับพี่สาวมากมาตลอดก็จริง พอพูดเรื่องว่าอยากจะออก สุดท้ายแล้วพี่ตอบกลับมาว่า "จะออกก็ได้นะ" ทั้งที่อยากให้เข้าใจความรู้สึกของผม แต่จากคำพูดพวกนั้นทำให้ผมโดดเดี่ยว แล้วก็นะ ช่วงเวลานั้นหัวใจมันกำลังพังทลายเลยพูดกับพี่สาวไปว่า "พอเถอะ จะไม่พูดแล้ว" แล้วก็ตำหนิแม่ว่า "ทำไมให้ผมมาโตเกียวล่ะ!" ทั้งที่ผมตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะขึ้นมาโตเกียวแท้ๆ แต่การกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นนั้นคือหลักฐานว่าหัวใจกำลังอ่อนแอครับ

          นอกเรื่องนะครับ ช่วงนี้ได้ยินเรื่องเล่าจากแม่ว่าตอนช่วง "Herricane Riri, Boston Mari" เป็นช่วงที่แย่สุดๆเลย ดังนั้นในตอนนี้เวลาได้ยิน "Herricane Riri, Boston Mari" ในไลฟ์ แม่ก็จะร้องไห้ออกมา คงนึกถึงว่าผมเคยทุกข์ทรมาน(ตอนช่วงนั้นอยู่)

          จริงๆแล้วตอน "Herricane~" นั้นผมคิดว่าจะบอกกับบริษัทว่า "จะออกแล้ว" ด้วย แต่ว่าหลังจากนั้นก็มาคิดทวนซ้ำไปซ้ำมาว่าจะออก ตอนนี้คงพยายามต่อได้ แล้วก็คิดว่าจะออกอีก ผมพูดกับเมเนเจอร์ไปตั้งหลายครั้งว่าจะออกด้วย (หัวเราะ)

         ถ้ามีเวลาส่วนตัวก็คงจะต่างออกไปจากนี้ แต่เพราะไม่มีวันหยุดเลยก็เลยไม่มีเวลาเหลือ แล้วก็ทำแต่งานก็เลยไม่มีเพื่อน ตัวผมในตอนนั้นไม่มีที่ให้หนีไปได้เลย ความทุกข์มันมากเกินจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีและไม่สามารถคลี่คลายได้ ซึ่งนั่นก็ต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนเดบิวต์ ในตอนนั้นก็บอกว่าอยากออกอยู่ทุกวัน ในช่วงแรกนั้นผมมีแม่ที่คอยพูดว่า พยายาม พยายาม แต่จู่ๆก็บอกว่าจะเลิกก็ได้นะ ผมรู้สึกเหมือนโดนผลักดันเล็กน้อยและในตอนที่เริ่มคิดว่าจะออกดีไหมนะ? ผมก็ได้พบกับนิค

 

ถึงตอนนี้ก็ยังจำได้แม่น

          เพื่อนที่เป็น Bilingual (คนที่พูดได้สองภาษา) กับเพื่อนที่รู้จักกันบอกว่าจะจัดไลฟ์ มาดูด้วยนะ แล้วผมก็ไปครับ พอไปแล้ว ที่นั่นมีนิคที่มาคนเดียว จากนั้นเหมือนเพื่อนที่เป็น Bilingual จะคุ้นหน้าก็เลยเข้าไปชวนนิคคุย... ถึงตอนนี้ผมก็ยังจำได้แม่น เพื่อนถามนิคว่าหลังจากนี้จะไปกินข้าวกลางวัน ไปด้วยกันไหม? แล้วก็ไปร้านอาหารสำหรับครอบครัว (Family Restaurant) กันครับ แล้วทั้งสองคนพูดอังกฤษกันคล่อง ผมเองพูดไม่ได้ทั้ง "Nice to meet you" ทั้ง "My name is Shinjiro" ก็เลยอาย แต่ทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่นั้นเท่ ผมอยากเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยเลยขอร้องเพื่อนไปว่า "ช่วยพูดแบบนี้หน่อย" ทำให้ตอนนั้นผมสนใจเรื่องการพูดภาษาอังกฤษขึ้นมาครับ

           จากนั้นในระหว่างที่คุยกัน ผมก็ได้รู้ว่าบ้านนิคอยู่ใกล้ๆกัน เลยตัดสินใจว่าอาทิตย์นึงจะไปกินข้าวด้วยกัน 1-2 ครั้งแล้วก็ไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อนครับ เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นเพื่อนกับคนต่างชาติ แล้วในระหว่างที่ฟังการสนทนา วิธีการเล่าเรื่องของนิคก็ทำให้ผมรู้สึกสนุกขึ้นมา ทุกคนนั้นพูดคุยแล้วก็หัวเราะกันเป็นปกติ ทำให้ผมคิดว่าถึงแม้ภาษาจะแตกต่างกันแล้วพูดได้แค่ภาษาอังกฤษแท้ๆ ทำไมถึงได้สนุกขนาดนี้นะ? พอเห็นแบบนั้นแล้วก็เลยรู้สึกอยากคุยกับนิคขึ้นมา เพราะผมไม่รู้เรื่องเลยจริงๆก็เลยให้เพื่อนช่วยสอนไวยากรณ์ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นให้

           เริ่มจากสิ่งง่ายๆอย่างเช่นพูดว่า "อยากไปชินจุกุ" เพราะผมไม่รู้พวกไวยากรณ์เลยก็เลยจำไปมั่วๆแล้วก็ลองพูดกับนิคดูครับ พอทำแบบนั้นแล้วนิคก็จะพูดว่า "นาย สุดยอดเลย~" ผมก็เลยทำแบบนั้นทุกสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ แต่ในช่วงแรกก็มีช่วงเวลาทีเคยท้อแท้แล้วก็คิดหลายครั้งว่าจะทำ จะยอมแพ้ จะทำ จะยอมแพ้ นะครับ พอคิดว่าจะต้องพยายามแล้วก็เลยซื้อตำราที่หนาสุดๆมา คิดว่า จะต้องจำทั้งหมดนี่ถึงจะพูดได้เรอะ? ก็เลยรู้สึกแหยงขึ้นมาก็มี แต่ว่า ถ้าเลิกตอนนั้นแล้วตอนนี้ผมก็คงจะยังเหมือนเดิมแล้วก็จะไม่มี "อะไรบางอย่าง" ที่จะทำให้ผมมีความมั่นใจตัวเองอยู่เสมอ ผมว่านั่นมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษหรอกหรือ (ที่ทำให้ผมมีความมั่นใจ) หลังจากนั้น หากเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็จะศึกษาจากในเพลงอย่างจริงจังเพราะคิดว่าอาจจะมีอะไรที่เอามาใช้กับงานได้ไม่ใช่หรือ...น่ะครับ

 

ความมั่นใจที่พูดภาษาอังกฤษได้ทำให้ไปต่างประเทศ

          พอได้พบกับนิค ผมก็เลยได้ภาษาอังกฤษในระดับที่พูดได้ แต่ความทุกข์ใจในเรื่องงานนั้นก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว ยังคงหลงเหลือความรู้สึกที่ว่า "อยากจะออก" อยู่ เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นก็เลยแทบจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้วันหยุดหนึ่งอาทิตย์ อยากจะลองดูน่ะครับ ความสามารถภาษาอังกฤษของผมน่ะ ดังนั้นก็เลยไปที่ลอสแองเจลลิสกับซานดิเอโกที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ตอนแรกสุดคนเดียวน่ะครับ ที่นั่นก็เป็นไปตามที่เขียนแนะนำไว้ เพื่อนช่วยพาผมไปหลายๆที่อย่างไปชมสัญลักษณ์ของฮอลลีวู้ด ไปสวนสนุก ตอนที่อยู่คนเดียวก็ไปที่ดาวน์ทาวน์ด้วยรสบัสแล้วก็ประทับใจว่ามัน สุดยอด~ ถึงจะเคยมาอเมริกาเพราะเรื่องงานก็ตาม แต่รอบนี้ผมมาคนเดียว ไม่มีใครให้คุยด้วย เพราะอย่างนั้นความทรงจำมันก็เลยเข้ามาในตัวทำให้จำได้อย่างดี

          จากนั้น ในที่สุดผมก็ไปที่ท่าเรือซานตาโมนิก้า ที่นี่ก็จบลงอย่างไม่มีปัญหา แต่เหมือนมีอะไรสักอย่างที่ดึงผมเอาไว้เล็กน้อย เลยขอร้องเพื่อนว่า "อยู่ที่นี่อีกหน่อยได้ไหม?" จากนั้น รู้สึกจะอยู่ที่นั่นประมาณ 2 ชั่วโมง ผมก็คิดว่า ถ้ายังเป็นปกติอยู่ อีก 15 นาทีคงจะไปที่อื่นต่อแล้ว แล้วก็คิดว่า "ดีสุดๆไปเลยนะ" จากนั้นก็ไปจนสุดปลายท่าเรือแล้วก็นั่งเหม่อน่ะครับ

          ตอนแรกยังอากาศครึ้มๆอยู่ แล้วแสงแดดก็ส่องลงมาจากช่องว่างของเมฆ มันอาจเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปแม้แต่ที่ญี่ปุ่นก็จริง บรรดาคนที่ผมไม่รู้จักยิ้มให้กันอยู่ข้างๆ รอยยิ้มของทุกคนให้ความรู้สึกสนุกสนานและมีความสุข พอได้เห็นแบบนั้นแล้ว กระทั่งตัวผมเองที่มืดหม่นมาตลอดก็เริ่มคิดว่าความทุกข์ใจที่ญี่ปุ่นก็เป็นแค่เรื่องเหลวไหลขึ้นมาน่ะครับ พอทำเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน และรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

 

ทัศนคติในการดำรงชีวิตค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย

          ถ้าจะบอกว่าเรื่องของท่าเรือซานตาโมนิก้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงไป 100% นี่จะเรียกว่าโกหกหรือเปล่านะ แต่ว่าตอนที่ผมท้อแท้กับอะไรสักอย่างพอได้เฝ้ารอคอยว่าจะไปต่างประเทศแล้วก็จะไม่ท้อแท้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่ลอสแองเจลลิสเท่านั้น ยังมีประเทศอื่นๆอีกมากมายในโลกนี้ด้วย การที่(การท่องเที่ยวต่างประเทศกลาย)เป็นงานอดิเรกขึ้นมาได้นี่ผมคิดว่ามันยิ่งใหญ่นะครับ ตอนที่ท้อแท้ก็จะประมาณว่า คิดเรื่องไปเที่ยวเถอะ แล้วก็ลองค้น(ข้อมูลจาก)คอมพิวเตอร์ดูสักหน่อย ผมเป็นคนที่จิตตกง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เพราะผมเป็นคนช่างคิดแบบสุดโต่งด้วยความซื่อก็เลยอยากทำแบบจริงจัง พอมีอะไรนอกเหนือจากความคาดหมายก็จะเก็บเอามาคิดคนเดียวแล้วก็จิตตก แต่ว่าพูดกับใครไม่ได้เลย เก็บเอาไว้ในใจตัวเอง ทิ้งไปไม่ได้ และคิดว่าการจะทิ้งมันไปนั้นเป็นเรื่องโง่เง่า แต่ว่าผมก็เริ่มคิดว่านั่นมันผิดหรือเปล่านะขึ้นมาแล้ว

          ถ้าจะพูดถึงสาเหตุที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่องอื่นแล้ว ก็คือผมถูกความอิสระซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนอเมริกาดึงดูดเข้าอย่างจังครับ เพราะผมเคยทำให้ตัวเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น เริ่มจากนิคที่เป็นคนทำให้ผมเห็นชีวิตที่น่าสนุกของพวกเขา ทำในสิ่งที่อยากทำ พอลองถามนิคว่า "ทำไมถึงมาญี่ปุ่นล่ะ?" เขาก็ตอบว่า "เพราะมันน่าสนุกดี"

          คนอเมริกาเนี่ย มีคนมากมายที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แต่คนญี่ปุ่นนั้นกลับมีคนมากมายที่นึกถึงอนาคตใช่ไหมครับ? นั่นทำให้ผมกังวลขึ้นมา แต่ว่าพวกคนอเมริกานั้นจะมีวิธีคิดที่ว่า "ถามว่าทำไมถึงทำงานงั้นหรือ? ก็เพื่อสนุกกับตอนนี้ไม่ใช่เรอะ?" ถ้าจะบอกว่าทั้งหมดนั้นผมเข้าใจทั้งหมดมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะผมเองก็เป็นคนญี่ปุ่น แต่คิดว่ามันเป็นวิธีคิดที่สุดยอด ถึงจะไม่ได้พยายามอะไร แต่คิดว่ามาสนุกกับตอนนี้กันเถอะนั้นน่ะ จากตรงนั้นผมคิดว่ามันจะเติมเต็มความเป็นส่วนตัวของผมน่ะครับ

 

เพื่อนทั่วโลกกับตอนนี้

           ตั้งแต่กลับมาจากการไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกก็ได้รู้ถึงเรื่องที่นิคจะกลับอเมริกา เพราะว่ามีนิคเป็นที่พึ่งแบบสุดๆมาโดยตลอดก็เลยตกใจ แล้วตอนนั้นแม่ผมก็สนิทกับนิคด้วย ตอนไปเที่ยวบ้านผมที่เกียวโต ผมได้อยู่กับนิคทั้งวัน จนถึงตอนนั้นผมตีความภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว(นิค)ก็เลยบอกกับผมน่ะครับ ตอนนั้นอยู่ๆก็เข้าใจทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาซะเฉยๆ เป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างบอกไม่ถูกเลย

          วันที่นิคกลับอเมริกาผมก็ขับรถไปส่งถึงสนามบินด้วย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่ผมคิดว่าการมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ เพราะว่าระยะทางมันห่างไกลกันเลยใช่ว่าจะมาเจอกันได้ทันที แล้วหลังจากนี้ก็อาจจะไม่ได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สองเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นผมเองก็เลยบอกนิคไปว่าขอบคุณจริงๆทั้งน้ำตาครับ ปกติแล้วผมจะไม่ร้องไห้ก็เลยตกใจกับน้ำตาของตัวเองครับ (หัวเราะ) นิคคือคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไปต่างประเทศ บางทีก็เคยคิดว่าถ้าผมไม่ได้พบกับนิค ผมจะเป็นยังไงกันนะ ถ้าเป็นแบบนั้น จริงๆแล้วผมอาจจะออกจาก AAA ไปแล้วก็ได้

         เพราะจากกันด้วยความประทับใจแบบนั้น ผมเกิดอยากเจอนิคขึ้นมาเลยเดินทางไปจนถึงเทเนสซีคนเดียว เรื่องตอนนั้นก็มีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ครับ ตอนที่กำลังกำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่ คงจะมีคนที่พลิกกลับไปอ่านหน้านั้นอีกรอบนึง คนนั้นก็คือนิคที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมครับ (หัวเราะ)

          เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอดก็เลยรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวที่อยู่ต่างประเทศ เราทั้งคู่ต่างไม่มีเรื่องปิดบังกัน ตอนไปอเมริกาก็คุยกันว่าไปเจอกันนะ ระหว่างที่คุยสไกป์กัน(นิค)ก็บอกว่า "ชินจิโร่ นายเปลี่ยนไปนะ" พอผมตอบกลับไปว่า "เป็นเพราะนิคน่ะ" ก็ดีใจมากเลย (หัวเราะ)

          ผมเองได้พบกับชาวต่างชาติที่ดีที่สุดในครั้งแรกสุด ตอนช่วงอายุ 10-19 ปีนั้นผมไม่เชื่อในตัวคนอื่น แล้วก็ไม่อยากจะคุยกับคนแปลกหน้า... แต่นั่นทำให้ผมเหงาครับ (นิค)เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมที่ไม่เคยซื่อสัตย์กับตัวเองเลยเปลี่ยนไป

           จากตอนนั้น ผมก็ได้ไปเที่ยวมาหลายที่ มีเพื่อนในหลายๆประเทศ ตอนนี้ที่ผมเติบโตขึ้นมาทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว พอลองมองย้อนกลับไปก็ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เรื่องที่เคยทุกข์ในตอนนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็แค่ชอบหรือเกลียดคนอื่นเท่านั้น ผมข้ามมาอยู่ฝั่งที่ชอบไม่ได้ แล้วก็ไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวกับเพื่อน เพราะเป็นช่วงอายุ 10-19 ปีก็เลยไปดื่มด้วยไม่ได้ แล้วก็ไม่มีเงินก็เลยไม่มีใครชวนไปกินข้าว ตอนนี้พอลองมาคิดดูแล้วมันก็ค่อยๆหลุดมาทีละเรื่องสองเรื่องนะ (หัวเราะ)

           ตอนนั้น สิ่งที่ไม่ดีที่สุดคือการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งความรู้สึกของที่ผมมันเปลี่ยนแปลงแบบปุบปับ แล้วอีกอย่างคือวิธีการคิดครับ ผมว่าชีวิตนั้นไม่ใช่การเอามันไปเทียบกับคนอื่น การเปรียบเทียบในแง่บวกนั้นจำเป็นก็จริง แต่การเปรียบเทียบในแง่ลบนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดาย อย่างเช่นการเกลียดชังคนรวย เกลียดชังคนที่หุ่นดี เพราะพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเลยทำอะไรไม่ได้ บางทีสำหรับคนเหล่านั้น การที่ตัวสูงมากๆนั้นอาจจะเป็นปมด้อย หรือถ้าจะบอกว่าคนรวยทุกคนมีความสุขเราก็ไม่รู้ ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้น มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่โยงความทุกข์เข้ากับความคิดในแง่บวกก็ไม่ได้นะครับ การที่เราทุกข์แล้วคิดในแง่ลบนั้น ผมว่าเป็นเพราะเราเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่นหรือสิ่งอื่นครับ

          เพื่อนๆชาวต่างชาติทุกคนนั้นมักจะมีความคิดที่ว่า "แค่ตัวเองมีความสุขเท่านั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?" กันเสียเป็นส่วนมาก ไม่ใช่คิดเอาแต่ใจตัวเองว่าแค่ตัวเองมีความสุขเท่านั้นก็พอ แต่เป็นวิธีคิดที่ว่า ถ้าทำตัวเองให้มีความสุขแล้วทุกคนก็จะมีความสุขไปด้วยไม่ใช่หรือ? ครับ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตามถ้าทำให้ตัวเองสนุกไปกับมันได้ แม้จะทุกข์มันก็จะค่อยๆเล็กลงไปเองครับ

 

เพื่อให้ต่อจากนี้ไปมีความสุข

          แม้จะมีความทุกข์มามากมาย แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่ากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ครับ เพราะชีวิตนั้นมีแค่ครั้งเดียว ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวเลยตั้งใจว่าจะสนุกไปกับมัน แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีความทุกข์เลยมันก็ไม่ใช่แบบนั้น ในตอนนี้ มีปัญหากับตัวเองอยู่มากมายที่ทำให้คิดว่าเพราะตัวเองเป็นแบบนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะทำแบบนี้ เพราะว่าพลาดตรงนี้ไปแล้วก็เลยว่าจะทำแบบนี้มากกว่าที่จะทำเพื่อคนอื่นครับ เพราะถ้าเคลียร์ตรงนั้นได้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองจะก้าวขึ้นไปได้อีกขั้น เพราะฉะนั้นการพูดถึงสิ่งที่ทุกข์นั้นมันไม่จำเป็นเลย ทำให้มีคนบอกว่าผมดูไม่มีความทุกข์เลยนะ (หัวเราะ)

        ช่วงนี้ผมคิดว่าตัวผมเองค่อนข้างอ่อนแอน่ะครับ ต้องขอขอบคุณทั้งเพื่อนสมาชิก ทั้งสตาฟฟ์ และทั้งครอบครัวมากจริงๆ ผมบอกกับครอบครัวไปว่าจนถึงตอนนี้ผมสร้างความลำบากให้มากจริงๆ รู้สึกว่าผมจะบอกแม่ไปว่า "Love you" นะ (หัวเราะ)

         เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าจากนี้ไปตัวเองจะต้องเข้มแข็งขึ้น ผมว่ามนุษย์นั้นตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีความทุกข์อยู่ตลอด ถึงจะคิดว่าความทุกข์นั้นหากเป็นความทุกข์ที่คอยมารบกวนมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม แต่ไม่คิดหรือว่าความทุกข์นั้นถ้ามีมันอยู่สักหน่อยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมาได้?

          ผมคิดว่าเพราะมนุษย์แต่ละคนนั้นแตกต่างถึงได้สนุก เพราะแตกต่างถึงได้รับแรงกระตุ้น(จากอีกฝ่าย) เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องมีข้อดีอยู่อย่างแน่นอน ไม่อยากให้คิดว่าตัวเองจะเป็นไงก็ช่าง ผมว่าไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรก็ควรจะใช้ชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งต่อไป จากนั้น พอรู้ถึงสิ่งที่ทำได้ไม่ดีแล้วก็พยายามกับทั้งงาน ทั้งได้พบงานอดิเรก จากเคยเป็นคนที่อะไรก็ได้ก็กลายเป็นว่ามีความฝันที่ยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่งและมีความฝันเล็กๆอีกมากมาย อย่างเช่นว่า วันนี้พยายามแล้วก็ไปกินเนื้อย่างเถอะ! ประมาณนี้ พอสะสมความสุขเล็กๆน้อยๆเอาไว้แล้ว แม้แต่ฝุ่นผงเองก็จะทับถมขึ้นมาเป็นภูเขา ถ้าเก็บรวมรวมเอาความสุขเล็กๆน้อยๆเอาไว้ก็จะกลายเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ แบบว่าดูน่านับถือนะ แต่นี่คือสิ่งที่ได้รับรู้มาจากการทำงาน 10 ปีถึงได้พูดแบบนี้ออกมาได้ครับ (หัวเราะ)

           ในตอนนี้ชีวิตผมนั้นสนุกจริงๆ ทั้งเพื่อน ครอบครัว สมาชิก แฟนๆทุกคน สตาฟฟ์ ผมชอบทุกคน ทุกคนมีข้อดีและผมได้ค้นพบมันแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าเกลียดผมนะ (หัวเราะ)

 

113405362

 

          ส่วนตัวแล้วตอนอ่านจบครั้งแรกแอบปาดน้ำตานิดๆนะ คือพอรู้อยู่เลาๆว่าเมื่อก่อนชินจิโร่เป็นเด็กมีปัญหาประจำวง(ฮา) พอได้มาอ่านแบบนี้แล้วก็ว่าชินจิโร่โตขึ้นมากจริงๆและดีใจที่ชินเจอสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆเสียที นี่ก็มโนไปว่าเราโตไปด้วยกันอะไรแบบนั้น (ฮา)

         อีกอย่างนึงคือ บทความอันนี้เราเริ่มแปลช่วงอ่านหนังสือสอบ 2/3 ส่วน และที่เหลืออีกส่วนนึงมาแปลหลังสอบปลายภาคเสร็จค่ะ เป็นครั้งแรกที่สลัดตัวขี้เกียจลุกมานั่งแปลบทความอะไรแบบนี้หลังจากที่มีโปรเจ็กต์เยอะมากว่าจะแปลแต่ไม่เคยทำสำเร็จ รอบนี้แปลแล้วเหมือนติดลมบน รู้ตัวอีกทีคือแปลจบไปหน้านึงแล้วอะไรแบบนั้น

         (เราควรจะเลิกเวิ่นแล้วจบซะที) หลังจากนี้ถ้ามีอะไรน่าสนใจเราก็จะมาแปลลงเรื่อยๆนะคะ แน่นอนว่าตามอารมณ์ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่า ถ้าแปลไม่ดียังไงขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ

Post a Comment

0 Comments