[TRANS] Kishi Yuta 10000 words Long Interview (Myojo June 2022)

 

     สวัสดีค่า ซีรีย์แก้บนครั้งที่ 4 ของเรากับการแปล 10000 อักษรคิงปุริมาแล้วค่ะ จะมีใครรออยู่ไหมนะ 555 ตอนแรกแอบกังวลว่าของเดือนนี้จะทำทันไหมนะเพราะมีหลายเรื่องในชีวิตมาก แต่สุดท้ายแล้วก็ฮึดทำให้เสร็จตามความตั้งใจของตัวเองจนได้ค่ะ สำหรับรอบนี้เป็นคิชิคุง ลีดเดอร์ของเรานั่นเองค่า


     สำหรับรูปภาพที่ลงในบล็อก เราใช้เป็นรูปเซ็ตซิงเกิล We are young / Life goes on ซิงเกิลล่าสุดของคิงปุริ เหมือนเดิม และในส่วนของบทสัมภาษณ์ก็มาจากเว็บไซต์ของทางเมียวโจที่ลงบทสัมภาษณ์นี้ให้อ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และขอเคลมเหมือนเดิมเช่นเคยว่าเราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


 10000 words Long Interview 


 สมัยผมเป็นJr. 

 ฉบับ King & Prince 👑 

 ครั้งที่ 4 


 “ไม่ลองทำดูก็ไม่รู้” 
 เพราะทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ถึงได้อยู่ตรงนี้ 

 💜 岸 優太 💜 

คิชิ ยูตะ

เกิดวันที่ 25 กันยายน 1995 บ้านเกิดไซตามะ เลือดกรุ๊ป A ความสูง 167 ซม.
เข้าจอนห์นี่ส์วันที่ 20 กรกฎาคม 2009
CD เดบิวต์ในฐานะ King & Prince เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2018

นับตั้งแต่เข้าบริษัทในปี 2009 คิชิ ยูตะก็มุ่งมั่นตั้งใจ
ทั้งในด้านการร้องเพลง การเต้น และการแสดงตั้งแต่หนึ่งเรื่อยมา
โดยมีต้นกำเนิดจากทัศนคติว่าจะไม่ตัดสินว่าทำได้ / ทำไม่ได้ ชอบ / เกลียด ด้วยตัวเอง
”จะเป็นมืออาชีพหรือเปล่านั้นคนรอบข้างคือผู้กำหนด”
เขาตั้งเป้าที่จะเป็นมืออาชีพอย่างสมบูรณ์ในสักวัน และต่อสู้อย่างสุดกำลังเรื่อยมา



  อ่อนโยนและใจกว้าง คือความรู้สึกที่อยู่ในชื่อ  


──สัมภาษณ์ 10000 อักษรของเดือนนี้คือคิชิคุง ลีดเดอร์ของ King & Prince ขอฝากตัวด้วย

💜 ฝากตัวด้วยครับ! แหมแต่ว่าผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นลีดเดอร์เลยสักนิดนะครับ ถึงคิดว่าต้องคิดสักหน่อยก็เถอะครับ (หัวเราะ) เพราะเหมือนไม่มีลีดเดอร์ไปแล้วน่ะครับ แล้วถึงจะบอกว่าผมเป็นลีดเดอร์แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำเพื่อ King & Prince ได้สักอย่างเลยด้วย

──จะว่าไป มีภาพลีดเดอร์ในอุดมคติหรือเปล่า?

💜 คนแบบอิโนฮาระ (โยชิฮิโกะ) ซังที่ได้ออกรายการร่วมกันในฐานะ main personaility ของ “24 jikan TV 43” เมื่อสองปีก่อนครับ “24 jikan TV 43” เนี่ย ตอนนี้แม้จะนึกถึงก็ยังเป็นความทรงจำที่สนุกสนานและดีมากจริงๆ ครับ ต้องขอบคุณอิโนฮาระซังผู้ช่วยสร้างบรรยากาศให้ร่วมงานกันได้อย่างง่ายดายแบบไม่คิดอะไรด้วยครับ ผมอยากเรียนรู้ทั้งในด้านความเป็นมนุษย์ ความอ่อนโยน ความเป็นผู้นำของอิโนฮาระซังครับ เพราะตัวผมเองไม่มีเศษเสี้ยวของความเป็นผู้นำเลยครับ

──แต่ (ทาคาฮาชิ) ไคโตะคุงบอกว่า “คิชิคุงอ่อนโยน เป็น ‘เครื่องรางเดินได้’ ที่แค่อยู่ด้วยก็รู้สึกปลอดภัย” นะ

💜 อื-ม อ่อนโยนหรือเปล่าไม่รู้นะครับ แต่พ่อเคยบอกไว้ว่า “เป็นชื่อที่ตั้งเพราะอยากให้เป็นคนอ่อนโยนและใจกว้างน่ะ” น่ะครับ แล้วก็บ้านคิชิเนี่ยให้ความสำคัญกับการเรียนก็จริง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือจะย้ำว่าต้องให้ความสำคัญกับการเข้าหาคนอื่นด้วย เลยโดนอบรมเรื่องการทักทายหรือมารยาทมาอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษครับ ว่าต้องอ่อนน้อมต่อผู้อื่น

──เป็นคนอ่อนน้อมมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วสินะ

💜 แต่ว่าถึงจะเป็นคนอ่อนน้อมก็จริงแต่ชอบที่สูงๆ นะครับ เพราะเคยกระโดดลงมาจากที่สูงพลางตะโกน “อุลตร้าแมน!” จนกระดูกแขนหักครับ เลยโดนว่าว่าเป็นคนที่ต้องดูแลมากที่สุดในบรรดาพี่น้องเลย

──มีพี่ชายอายุมากกว่า 2 ปี และน้องสาวอายุน้อยกว่า 3 ปีสินะ

💜 ครับ ที่บ้านผมพ่อเป็นคนเลี้ยงมา งานบ้านหลายๆ อย่างเลยมีแค่ลูกๆ ที่ต้องเป็นคนทำ เรื่องเงินก็ไม่ได้มีอันจะกินอะไร พวกเรา 3 คนเลยจะไปซื้อวัตถุดิบที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาทำอาหารเย็นกินกันเองที่บ้านในหมู่พี่น้องกันตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับ ที่ทำบ่อยก็ข้าวผัด ข้าวผัดเนี่ยใช้วัตถุดิบอะไรก็ได้ใช่ไหมล่ะครับ เครื่องปรุงก็ใส่มั่วๆ ได้ แต่พอพูดแบบนี้ปุ๊ปก็จะโดนบอกมาครับว่า “ลำบากแย่เลยเนอะ” ซึ่งถ้าพูดถึงบ้านผมแล้วพ่อเขาพยายาม(เพื่อพวกเรา)มาก เลยไม่มีความรู้สึกเหงาหรือขมขื่นอะไรเป็นพิเศษครับ แม้งานจะยุ่งแต่ตอนอยู่บ้านก็จะมาเล่นด้วยแล้วก็ทำอาหารให้ด้วย นึกออกเลยครับว่าจะชอบทำแกงกะหรี่ในหม้อใหญ่ๆ ประมาณไว้ทำขายทิ้งเอาไว้ให้น่ะครับ

──เคยได้เรียนอะไรหลายๆ อย่างสินะ?

💜 ใช่แล้วครับ ฟุตบอล คาราเต้ เปียโน เรียนหลายอย่างเลยครับ บัลเลต์เองก็เคยเข้าไปลองมาก็เลยเคยได้เรียนครับ ผมน่ะเป็นพวกบอก “อยากลอง!” ทันทีแต่ก็เบื่อเร็วด้วย พ่อเขารู้ว่าผมมีนิสัยเบื่อง่าย ล้มเลิกบ่อย ถ้าไม่ขอร้องเขามากๆ เขาจะไม่ยอมให้ผมเรียนอะไรใหม่ๆ เลยครับ เพราะงั้นเลยต้องทำความสะอาดบ้านแบบสุดๆ แล้วคอยประจบพ่อให้อารมณ์ดีก่อนค่อยขอร้องครับ (หัวเราะ) ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่บ้านมาก แต่ก็ยอมจ่ายพวกค่าเรียนรายเดือนโน่นนี่ให้ผมครับ

──แล้วเริ่มเล่นเบสบอลตั้งแต่เมื่อไหร่?

💜 ป.5 ครับ พี่ชายเขาเล่นเบสบอลอยู่ก่อนแล้ว ผมหลงใหลในตัวพี่ชายเลยอยากลองเล่นดูบ้างน่ะครับ เบสบอลเลยเป็นสิ่งที่จริงจังอย่างแรกในชีวิตของตัวเองเลยครับ เรื่องอื่นไม่เอาหมดทุกอย่าง ที่พยายามสุดตัวได้อย่างเดียวคือเบสบอลครับ

──เคยฝันอยากเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพด้วยสินะ?

💜 ครับ แล้วก็พนักงานดับเพลิงกับพนักงานร้านขายสัตว์เลี้ยง 3 อย่างครับ พนักงานดับเพลิงเนี่ยคือคิดว่าการได้ช่วยเหลือคนมันเท่มาก ผมรักสัตว์มาตั้งแต่สมัยเด็กด้วย เคยขอของขวัญวันคริสต์มาสจากซานต้าเป็นสารานุกรมสิ่งมีชีวิตด้วย เวลาที่มีความสุขที่สุดคือเวลาที่ได้อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงเพราะเลี้ยงสัตว์ไม่ได้น่ะครับ


  เอาอย่างคิชิคุงบ้างสิ คิชิคุงยังทำได้เลย  


──ส่งประวัติเข้ามาที่จอห์นนี่ส์ตอนม.2 เห็นเคยบอกว่าคนที่ส่งเป็นคุณย่าไม่ก็ลูกพี่ลูกน้องสินะ

💜 อ๊า~ ขอโทษด้วยครับมันปนกันไปหมดเลย คือในหัวผมเป็นคนเดียวกันน่ะครับ

──ขอโทษที ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

💜 เอ่อ ผมน่ะจะเผลอตอบย่าไม่ก็ลูกพี่ลูกน้องด้วยความรู้สึกทุกครั้งที่ถูกถามน่ะครับ (หัวเราะ) แต่ว่าแผนผังครอบครัว!? ช่วงนี้กำลังเรียนรู้เรื่องนั้นอยู่น่ะครับ เห็นว่าคนที่ส่งประวัติเป็นย่าไม่ผิดแน่

──เหตุผลที่คุณย่าส่งประวัติมาที่จอห์นนี่ส์คืออะไร?

💜 ดูเหมือนว่าจะลองส่งไปเพราะเห็นว่าเป็นคนหล่อน่ะครับ อื-ม แต่ไม่ได้รู้สึกว่าโตมาแบบมีคนบอกว่าเป็นคนหล่อถึงขั้นนั้นเลยนะครับ อืม แต่ครอบครัวหรือญาติมาบอกล่ะมั้ง แล้วพอส่งไปเลยเป็นเหตุผลให้ได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้ครับ

──ไม่ๆๆ น่าจะมีอะไรหลายอย่างกว่าจะมาถึงวันนี้นะ แต่เดิมแล้วคิดจะเข้ารับการออดิชั่นไหม?

💜 ผมอยู่ชมรมเบสบอลรูปในประวัติเลยเป็นรูปตอนหัวโล้นครับ ออดิชั่นก็ไปแบบหัวโล้น มีผู้ออดิชั่นประมาณ 200-300 คนมั้ง คนหัวโล้นมีผมคนเดียวเลยอายมาก คิดว่าแบบนี้ตกแหงๆ รู้สึกผิดที่ผิดทางชอบกล แต่ว่าพอการออดิชั่นดำเนินไปก็โดนคัดกรองเอาไว้ แล้วก็หาส่วนที่ทำได้ดีแบบฉิวเฉียดมาได้เรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีก็เริ่มกิจกรรมของ Jr. แล้วครับ

──กิจกรรมของ Jr. เป็นยังไงบ้าง?

💜 ตอนแรกบอกกับพ่อบ่อยๆ เลยครับว่า “ไม่อยากไป” เพราะไม่ได้ไปออดิชั่นด้วยความตั้งใจของตัวเองแล้วยังไม่เคยเต้นอีก เลยเกลียดการเต้นจริงๆ

──แต่เหตุผลที่ทำให้ยังทำต่อได้ก็คือ?

💜 หลังจากออดิชั่นได้ 1 เดือน ผมก็ได้เป็นแบ็คใน “ARASHI Anniversary Tour 5×10” ของอาราชิครับ ภาพในสนามกีฬาแห่งชาติที่เป็นสถานที่จัดงานน่าตื่นตะลึงมาก และรู้สึกว่า “แค่ 5 คนก็สามารถกุมหัวใจของผู้คนมากมายขนาดนี้ได้เลยเหรอเนี่ย! จอห์นนี่ส์นี่สุดยอดจริงๆ” แล้วจากวันนั้นก็เหมือนเปิดสวิทช์เลย

──ตอนนั้นดูเหมือนว่าเวลาที่จอห์นนี่ซังพูดเตือน Jr. มักจะพูดว่า “เอาอย่างคิชิคุงบ้างสิ คิชิคุงยังทำได้เลย” นี่นะ

💜 ไม่ๆๆๆ ไม่เลยครับๆ ทั้งร้องเต้นห่วยแตกมากครับ ตอนนี้พอดูวีดีโอเต้นตอนนั้นแล้วอายจนทนไม่ไหวเลยครับ แค่ตั้งใจเอาไว้กับตัวเองว่าจะพยายามให้เต็มที่เท่านั้นเอง เพราะพ่อสอนมาแต่เด็กน่ะครับว่า “เรื่องที่ตัดสินใจแล้วว่าจะทำก็จงทำให้เต็มที่ไม่ให้เสียใจทีหลัง” คือตัวผมในตอนนั้นจะไม่มีอะไรให้น่าชื่นชมเลยสักอย่าง ถ้าจอห์นนี่ซังพูดว่า “เอาอย่างคิชิสิ” เรื่องนั้นน่าจะเป็นท่าทางที่ทุ่มสุดตัวเสมอล่ะมั้ง ก็ไม่รู้สิครับ เพียงแต่ถ้าเป็นจอห์นนี่ซัง ทุกคนเองก็คงคิดแหละครับว่าการโดนจอห์นนี่ซังชมเป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งกว่าอะไร ที่จริงแล้วคือดีใจในระดับเดียวกับการถูกพ่อชมเลยครับ ก็นะ ถึงจะโดนดุมากกว่าโดนชมหลายเท่าก็เถอะครับ (หัวเราะ)

──สนิทกับ (ซาโต้) โชริคุงที่เข้าบริษัทมาหลังจากคิชิคุงหนึ่งปีด้วยนี่นะ

💜 ไม่อยากเชื่อว่าจะอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้เลยครับ กับโชริน่ะ จอห์นนี่ซังจะรวมตัว Jr. เยอะๆ แล้วเลี้ยงพวกเนื้อย่างให้บ่อยๆ ก็เลยตื่นเต้นกันเพราะมีเด็กเล็กๆ เยอะเลยเผลอสั่งมาเยอะจนมากกว่าปริมาณที่ตัวเองกินได้จนเหลือน่ะครับ โชริกับผมเลยพยายามกินตรงนั้นให้หมดบ่อยๆ ครับ ง่ายๆ คือผมน่ะมีจิตวิญญาณของ “คนญี่ปุ่นขี้เสียดาย” อยู่น่ะครับ ซึ่งความรู้สึกตรงนั้นก็ใกล้เคียงกับโชริ พอรู้ตัวก็สนิทกันไปแล้วน่ะครับ

──โชริคุงเนี่ยได้เดบิวต์ในฐานะ Sexy Zone ในปีที่ถัดมาหลังจากเข้าบริษัทเลย

💜 ยังไงดี แบบจะพูดไงดี ถึงจะไม่ได้รู้สึกหมดกำลังใจครั้งแรกในชีวิตก็จริง แต่แบบเหมือนโดนทิ้งเอาไว้มากกว่า รู้สึกโดดเดี่ยวหน่อยๆ ล่ะมั้ง แน่นอนว่าโชริเขาแตกต่างสุดๆ มาตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้วน่ะครับ แต่การได้เดบิวต์เร็วขนาดนี้ก็ช็อกเหมือนกันครับ

──หลังจากโชริคุงเดบิวต์แล้วก็ไปฮาวายด้วยกัน แต่ไม่มีรูปที่ถ่ายด้วยกันสองคนเลยสักใบเลยนี่?

💜 ใช่ๆๆ โชริเข้ามาหาเหมือนปกตินะครับ แต่มีแค่ผมเนี่ยแหละที่รู้สึกถึงระยะห่างไปเอง อาจเป็นเพราะพอเดบิวต์แล้วจู่ๆ หลายๆ คนมาพูดกับผมว่า “ถ่ายรูปด้วยกันสิ” เลยเกิดความรู้สึกไม่อยากให้ดูเหมือนบ้าเห่อ กับจู่ๆ มีคนเข้ามาคลอเคลียแล้วกลัวว่าโชริเองก็จะเจ็บปวด เลยพูดออกไม่ได้ง่ายๆ น่ะครับว่า “มาถ่ายรูปด้วยกันเถอะ”

──คิดว่าจะเรียกความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในตอนนั้นว่ายังไงดี?

💜 ก็น่าจะสนิทกันโน่นนี่ และแน่นอนว่าก็มีทะเลาะกันด้วย ยังไงดี ความสัมพันธ์ในตอนนั้น… มีทั้งความหลงใหลและอิจฉาเล็กน้อย ถ้าให้พูดพวกเราก็คือเพื่อนในที่ทำงานไม่ผิดแน่ แต่ก็รู้สึกว่ามีมิตรภาพจริงจังอยู่ด้วยเหมือนกันครับ


  ผลงานที่ช่วยเปลี่ยนตัวเองมากที่สุดคือ “SHOCK” ครับ  


──ในปี 2013 ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วม “Endless SHOCK” ด้วยอายุที่น้อยที่สุดคือ 17 ปีนี่นะ

💜 จู่ๆ จอห์นนี่ซังก็ติดต่อมาครับว่า “YOU! จะได้แสดง ‘SHOCK’ นะ” เลยลนลานสุดๆ ครับว่า “เอ๊ะ จริงดิ!?” รอบข้างมีแต่รุ่นพี่ดังๆ แล้วก็คิดว่าจอห์นนี่ซังน่าไม่เคยพูดแบบนี้นะครับว่า “ถ้าไม่ไหวก็ให้รีบบอกไวๆ นะ” พอการซ้อมเริ่มขึ้น ผมคิดจะไปบอกทุกวันเลยครับว่า “ไม่ไหวจริงๆ ครับ” แต่ว่าพอพยายามซ้อมเต็มที่แล้วรู้ตัวอีกที จังหวะที่เรียกได้ว่า “ไว” ก็ผ่านไปและพูดไม่ได้แล้วน่ะครับ ดังนั้นเลยคิดว่าต้องทำเท่านั้น แต่ดีแล้วจริงๆ ครับที่ไม่ได้ล้มเลิกไป เพราะผลงานที่ช่วยเปลี่ยนตัวเองมากที่สุดคือ “SHOCK” ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงตัวผมที่เป็นคนครึ่งๆ กลางๆ ได้ หลังจาก “SHOCK” ผมก็เริ่มไปโรงเรียนสอนเต้นแบบส่วนตัวน่ะครับ เพราะคิดว่าต้องตั้งใจเผชิญหน้ากับการแสดงออกให้มากกว่านี้ อยากเป็นตัวจริงให้ได้ (โดโมโตะ) โคอิจิคุงเป็นคนที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ ขอบคุณเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ

──เคยบอกความรู้สึกขอบคุณกับเจ้าตัวโดยตรงไหม?

💜 เคยบอกหลายครั้งเลยครับ แต่โคอิจิคุงเขาซึนเดเระเลยทำท่าเย็นชาต่อหน้าผมครับ ทั้งที่ในใจก็น่าจะไม่ได้คิดขุ่นเคืองอะไรก็เถอะครับ

──โชริคุงเองก็จะท้าทายกับ “Endless SHOCK -Eternal-” ตั้งแต่เดือนเมษายนนี่นะ

💜 บางทีก็ติดต่อมา ผมก็บอกในเรื่องเท่าที่จะบอกได้ครับ น่าจะกำลังตื่นเต้นน่ะครับ เพราะเวทีนั้นมันพิเศษจริงๆ ครับ

──ได้ทำกิจกรรมในฐานะ Jr. และในฐานะแบ็คของ Sexy Zone ด้วย คิชิคุงเองก็เป็นศูนย์รวมในหมู่คนเหล่านั้นและได้ชื่อเล่นจากแฟนๆ ว่า “คิชิกคุสุ (Kisix)” ด้วยนี่นะ

💜 คงเพราะสมาชิกที่มาเป็นแบ็คจะสับเปลี่ยนกันค่อนข้างบ่อยเลยไม่ได้เป็นวงน่ะครับ แต่ตอนรวมวง 5 คนที่ถูกเรียกว่า “MAGIC” ที่มีจินกูจิ (ยูตะ) นั้น เพราะพวกเราเองก็เริ่มโตกันหน่อยแล้ว แบบว่า อืม รู้สึกว่า “อยากได้รับการยอมรับในฐานะวงกับ 5 คนนี้” แต่ว่าในช่วงเวลานั้นก็เกิด Mr.King vs Mr.Prince ขึ้นมาใหม่ เลยมีทั้งความดีใจที่ได้มีวงและความเศร้าที่ MAGIC ไม่ถูกยอมรับในฐานะวงครับ

──ในตอนนั้นคิดยังไงเกี่ยวกับการเดบิวต์?

💜 แน่นอนว่าอยาก(เดบิวต์)ครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไปปรึกษากับหลายคนเลยด้วยครับ โดยเฉพาะกับ (คิคุจิ) ฟูมะคุงและโชริ แต่ไม่ว่าจะถามใครเขาก็บอกว่า “จังหวะและโชค” กัน ตอนนี้เข้าใจความหมายนั้นแล้วครับว่าไม่ใช่เรื่องของการพึ่งพาโชคเลย การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้เดบิวต์แล้วไม่อายนั้นคือเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจังหวะหลายๆ อย่างยังไม่ลงตัวก็ยังเดบิวต์ไม่ได้


  ความรู้สึกที่แท้จริงเกี่ยวกับการเดบิวต์  


──รู้สึกบ้างไหมว่าจะได้เดบิวต์ใน Mr.King vs Mr.Prince?

💜 คิดว่าเดบิวต์ได้ครับ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาเถอะครับ แต่คิดว่าได้ ถึงจะไม่ได้ก็เถอะครับ

──หลังจากนั้นก็มีช่วงที่ Mr.Prince สามคนไม่ค่อยมีงานด้วยนี่นะ ในช่วงนั้นคิดเรื่องแบบไหนกัน?

💜 ยังไงดี ก็คิดหลายอย่างเลยครับ มีคิดว่าตัวเองทำเต็มที่แล้วหรือยังด้วย ถ้าเป็น Jr. ไม่ว่าใครก็คงเคยเจออุปสรรคกันอยู่หลายครั้ง แล้วคิดว่าควรเลิกจริงจังไหม เรื่องที่ทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว พยายามเต็มที่เสมอไม่ให้เสียใจทีหลัง ถ้ายังส่งไปไม่ถึงล่ะก็คงไม่มีหวังได้เดบิวต์แล้วล่ะมั้ง คิดว่าจะลองไปทำงานอย่างอื่นนอกเหนือจากงานบันเทิงด้วย เคยไปขอร้องคนรู้จักในท้องถิ่นให้ช่วยหางานพิเศษที่จะไปทำที่นั่นสักหนึ่งเดือนด้วยครับ

──ได้ปรึกษาใครเกี่ยวกับเรื่องที่คิดจะออกหรือเปล่า?

💜 แค่กับพ่อครับ แล้วก็ไม่ได้ห้ามมา บอกว่า “ชีวิตของแก ทำในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจก็พอ” ครับ แต่พูดกับสมาชิกไม่ได้เลยจริงๆ ครับ ผมซ่อนเอาไว้ เคยคุยแบบค่อนข้างจริงจังกับจินกูจิแค่สองคนด้วยครับ ที่ร้านแกงกะหรี่ล่ะมั้ง ในตอนนั้นเองก็ไม่ได้คุยว่า “จากนี้ไปอาจมีเส้นทางอื่นอีกมากมาย” ในฐานะเรื่องทุกข์ใจของตัวเอง แต่คุยกันในฐานะเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดน่ะครับ

──จินกูจิคุงเคยเล่าว่าในช่วงที่ไม่มีงาน คิชิคุงให้กำลังใจว่า “ห้ามท้อนะ” เลยเลิกคิดที่จะท้อ

💜 …ถ้าผมเป็นคนที่ยึดจินกูจิไว้ คนที่ช่วยยึดผมไว้ก็เป็นแฟนๆ ครับ ในช่วงเวลาที่ Prince ไม่ได้มีแสงมากขนาดนั้นก็ยังช่วยลงคะแนนในรางวัล Jr. ของ MYOJO ให้ครับ เพราะรับรู้ได้จริงว่า “มีคนที่คอยเฝ้ามองพวกเราอยู่นะ” ถึงได้ไม่ท้อแล้วอยู่มาได้โดยไม่ตัดสินใจจะลาออกครับ แน่นอนว่าต้นกำเนิดพลังขับเคลื่อนของตัวเองนั้นคือแฟนๆ ทุกคนไม่ผิดแน่ พวกเรา Prince สามคนคุยกันอยู่หลายครั้งว่าจะลองพยายามกันอีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

──จากนั้นก็ได้จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวในฐานะ Prince ด้วย และฤดูร้อนปี 2017 ก็ได้กลับมาทำกิจกรรมกับ Mr.KING อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไปคุยโดยตรงกับจอห์นนี่ซัง ตอนแรกคิชิคุงคัดค้านการไปคุยโดยตรงใช่ไหม?

💜 ใช่แล้วครับ เป็นความรู้สึกในตอนนั้น แน่นอนว่าจอห์นนี่ซังคิดเกี่ยวกับการเดบิวต์ของ Jr. อยู่เสมอ ดังนั้นเลยคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับการเดบิวต์นั้นควรมอบให้จอห์นนี่ซังตัดสินใจ แล้วจอห์นนี่ซังในตอนนั้นก็เคยพูดไว้ด้วยครับว่า “แค่เดบิวต์มันไม่ใช่ทุกอย่าง” ดังนั้นเลยคิดว่าน่าจะมีเส้นทางที่ประสบความสำเร็จใหม่ๆ แบบที่ไม่มีเคยมีมาก่อน แต่เรื่องใหญ่ที่สุดนั้นอาจเป็นแค่การคิดไปเองของผมนะครับ ถ้าสมมติว่าพูดคุยโดยตรงแล้วไปได้สวยจนได้เดบิวต์… ถ้าไม่ได้เป็น Jr. แล้วโอกาสที่จะได้เจอกับจอห์นนี่ซังจะลดลงหรือเปล่า เพราะผมชอบให้จอห์นนี่ซังคอยชมและคอยดุผมมากเลย

──แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่ตัดสินใจไปคุยโดยตรงคืออะไร

💜 ความเร่าร้อนเกี่ยวกับการเดบิวต์ของ (ฮิราโนะ) โชและความหนักแน่นจองการตัดสินใจของสมาชิกที่คิดแบบเดียวกันครับ ถ้าทุกคนเตรียมใจกันเอาไว้ขนาดนั้นแล้วผมเองก็ต้องเตรียมใจด้วยเหมือนกัน

──และก็ได้เดบิวต์

💜 แน่นอนว่าผมดีใจครับ เป็นความฝันเลย ดีใจจริงๆ ที่จะได้ทำให้คนมากมายมีความสุข การที่โชริมาบอกว่า “ยินดีด้วย” ทำให้ผมดีใจเป็นพิเศษเลย

──แล้วพ่อดีใจด้วยใช่ไหม?

💜 ดีใจครับ แต่พ่อผมเขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกต่อหน้าผมน่ะครับ แต่ว่าพอน้องสาวได้ยินก็ดีใจมากจริงๆ เลยคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าต้องแสดงความขอบคุณและตอบแทนกลับไปให้มากยิ่งๆ ขึ้นน่ะครับ เพราะคนที่ทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ก็คือพ่อผม แม่ผมเองก็ติดต่อมาด้วยว่า “ยินดีด้วย” รู้สึกว่าคอยเฝ้ามองผมอยู่นะ

──แต่ก่อนหน้านี้ คิชิคุงเคยเล่าว่า “บอกความรู้สึกที่แท้จริงเกี่ยวกับการเดบิวต์ไม่ได้” นี่นะ ถ้าเป็นตอนนี้มีเรื่องที่บอกได้แล้วหรือยัง?

💜 …ความรู้สึกที่แท้จริงเกี่ยวกับการเดบิวต์มันเรียบง่ายมากเลยครับ เหมือนโดนความกดดันบดขยี้เลย ผมน่ะเป็นพวกไม่ถูกโรคกับความกดดัน ในเดือนมกราคมหลังจากประกาศเดบิวต์ แน่นอนว่าทั้งแฟนๆ และสตาฟฟ์ก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ที่จะได้เดบิวต์ในเดือนพฤษภาคม แต่(ผม)จะตอบสนองต่อความคาดหวังของทุกคนอย่างนั้นได้หรือเปล่า แต่ถ้าผมเผลอพูดออกไปว่า “กังวลครับ” ก็คงจะทำให้รอยยิ้มของแฟนๆ ต้องมัวหมองแน่ เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็เก็บเอาความรู้สึกนี้ไว้แค่ในใจของตัวเองก็แล้วกัน

──พอเดบิวต์แล้วความกังวลหายไปเมื่อไหร่?

💜 ยังไงดีนะ ได้แค่คิดว่าต้องผ่านทุกวันไปให้ได้ พอเดบิวต์ปุ๊ป รู้สึกตัวอีกทีก็วันนี้แล้ว คือเป็นเรื่องที่มองย้อนกลับไปก็คิดว่าเราก็ผ่านมันมาได้จริงๆ นะเนี่ย แน่นอนว่าในจังหวะที่รู้สึกว่างานที่ได้มาเป็นภาระหนักเล็กน้อยหรือเปล่านั้นก็ยังมีอยู่ทั้งในตอนนั้นและในตอนนี้ครับ แต่ยิ่งผ่านทุกวันที่เป็นแบบนั้นมา ตอนนี้ความจุเลยเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ดังนั้นตอนเดบิวต์ใหม่ๆ น่าจะลำบากที่สุดครับ รู้สึกว่าฉิวเฉียดมากเลยครับ


  ดีใจกับการที่ทำให้สมาชิกยิ้มได้  


──ช่วยฝากข้อความถึงสมาชิกที่ข้ามผ่านวันเวลาที่ทุกข์ใจและร่วมสู้ด้วยกันมาหน่อย เริ่มที่นางาเสะ (เร็น) คุง

💜 กับเร็นเนี่ยเจอกันแล้วสนิทกันทันทีเลยมั้ง ที่จำได้แม่นเลยคือพอ(เร็น)บอกว่า “ไปบ้านได้ไหม?” แล้วเรียกมา เขาก็ปรึกษาว่า “ช่วยสอนการแสดงหน่อย” เพราะผมเคยได้แสดงละครแม้จะแค่นิดหน่อยใน “Tsuukai TV Sukatto Japan” ผมเองก็ไม่รู้อะไรเลย แต่เพราะมีประสบการณ์มากกว่าเร็นในตอนนั้นแค่เล็กน้อยเลยสอนเท่าที่ทำได้ไป ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วก็เขินเลยครับ พอมาตอนนี้รู้สึกเหมือนต้องให้นายสอนแล้ว อืม แต่ว่า รากฐานการแสดงของเร็นอาจจะมีผมอยู่ด้วยก็ได้นะ (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ

💜 แล้วก็ ที่ผมดีใจก็คือตอนให้ของขวัญวันเกิดปีนี้ไปแล้วเขาดีใจสุดๆ ครับ เป็นกระเป๋าใส่มือถือกับกระเป๋าใส่ของเล็กๆ น้อยๆ แต่เลือกแบรนด์ที่เร็นชอบใช้ก็เลยดูดีใจมากครับ แล้วก็ในวันเกิดของโชที่อยู่ใกล้ๆ กันประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็ให้แจ็กเก็ตยีนส์เป็นของขวัญไป โชเองก็ดีใจมาก คิดว่าผมเองก็เซนส์ดีเหมือนกันนะเนี่ย อ๊ะ ขอโทษครับ ทั้งที่เป็นการคุยเรื่องของสมาชิกแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับยอตัวเองซะได้ (หัวเราะ)

──นางาเสะคุงเล่าเรื่องที่สมัยก่อนคิชิคุงเอายาผงใส่ปากเยอะๆแล้วเลียนแบบมังกรในห้องแต่งตัวด้วยนะ

💜 อ๊า~ ตอนนี้ก็ยังทำนะครับ ถึงจะบอกว่ากล้องไม่จับอยู่แท้ๆ น่าเสียดายก็เถอะ แต่ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ผมจะมีความสุขที่สุดกับการทำให้สมาชิกได้หัวเราะน่ะ

──เอาล่ะ งั้นต่อไปไคโตะคุง

💜 ไคโตะเด็กมากเลยตอนที่เข้ามา แต่ว่าออร่าโดดเด่นออกมาเลยครับ พอได้มาอยู่วงเดียวกันตอนแรกก็รู้สึกว่ามีช่องว่างเพราะเด็กกว่า 4 ปีอยู่หรอกนะครับ แต่หลังจากเดบิวต์แล้วจะเรียกว่าแกร่งกล้าขึ้นเป็นพิเศษก็คงได้ คือความคิดเป็นผู้ใหญ่ครับ ทั้งแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาในการประชุมอย่างเต็มที่เลยรู้สึกนับถือเพราะสำหรับตัวผมเองแล้วถือเป็นเรื่องที่ทำไม่ค่อยได้ครับ แล้วก็รับคำปรึกษาของผมอยู่บ่อยๆ ช่วยได้มากเลยครับ

──ไคโตะคุงบอกว่าก่อนเดบิวต์เขากังวลมากว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งใน King & Prince ได้จริงๆ เหรอ

💜 งั้นหรือครับ พออยู่ข้างๆ ก็เลยไม่ได้รู้สึกเลยเพราะดูสง่าผ่าเผยครับ ขอโทษด้วยจริงๆ นะที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ไคโตะทุกข์ใจอยู่ เพราะผมเองก็เต็มกลืนเหมือนกันล่ะมั้ง

──ต่อไปจินกูจิคุง

💜 ไม่ใช่แค่ทำกิจกรรมของ Jr. ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เท่านั้น ยังเป็นคนที่อยู่ด้วยในเวลาส่วนตัวบ่อยด้วยครับ เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วจริงๆ ช่วงนี้เลยรู้สึกว่ามีเสน่ห์ขึ้นในความหมายที่ดี แบบเผลอมองด้วยสายตาของผู้ปกครองเล็กน้อยว่าเป็นผู้ใหญ่ที่วิเศษขนาดนี้เลยนะ (หัวเราะ) เพราะถ้ามองจากจินกูจิในตอนนั้นแล้วจะเชื่อไม่ลงเลยว่าเป็นจินกูจิในตอนนี้

──ที่พูดนั่นหมายถึงสมัยที่เป็นกูจิกะล่อนใช่ไหม?

💜 ใช่ๆ เพราะให้ความรู้สึกกะล่อนตามแบบมาตรฐานเลย แต่ทั้งที่ภายนอกดูกะล่อนๆ แต่กลับเป็นคนที่คิดถึงเพื่อนและอ่อนโยน พออยู่ด้วยแล้วสนุกยิ่งกว่าอะไร ผมเลยชอบอยู่ข้างๆ จินกูจิ ตอนนี้ก็ยังชอบครับ

──สุดท้ายฮิราโนะคุง

💜 โชเนี่ยผมรู้ได้ตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรกแล้วว่าเก็บงำความเป็นดาราเอาไว้ครับ ทั้งตลกแล้วก็หน้าตาสวย ทำได้ทั้งร้อง เต้น การแสดง ถึงจะมีความสามารถมากมายแต่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดยิ่งกว่าอะไรก็คือความเป็นมนุษย์ ไม่เหลิงไปกับพรสวรรค์และมั่นคง ถ้าตัวผมเป็นโชคงจะเผลอเหลิงไปแล้วล่ะครับ

──นอกเหนือจากเรื่องของขวัญวันเกิดแล้ว ช่วงนี้มีเรื่องเล่าอะไรบ้างไหม?

💜 อยากบอกเอาไว้ก่อนจริงๆ จะได้ไม่เข้าใจผิดนะครับ เพราะผมติดโควิดเข้าถึงสร้างความเดือดร้อนให้วง ถึงทุกคนจะบอกว่าไม่ต้องใส่ใจหรอกแต่ยังไงก็รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ ตอนที่กลับมาทำกิจกรรมอีกครั้งเลยขอโทษทุกคนครับ แล้วโชก็บอกผมว่า “ไม่ต้องขอโทษ ฉันเองก็ได้พัก โชคดีออก!” ครับ พูดไม่ให้ผมรู้สึกต้องรับผิดชอบแม้แต่น้อย เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากทั้งกับโชและกับวงแน่นอนน่ะครับ ใจดีจริงๆ นะครับ

──ช่วงเวลาไหนที่รู้สึกว่าโชคดีที่ได้เดบิวต์กับสมาชิกกลุ่มนี้?

💜 คิดทุกครั้งที่ถูกถามคำถามแบบตอนนี้เลยครับ ว่าไม่มีอะไรที่หวนกลับไปเสียใจในเส้นทางที่พวกเราเดินมาเลยสักนิด ไม่ว่าตัวเลือกไหนหรือการตัดสินใจไหนของพวกเราไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลยสักอย่าง


  King & Prince หนึ่งวงต่อหนึ่งครอบครัว  


──รู้สึกได้ว่านิสัยไม่โอ้อวดของคิชิคุงเป็นเหตุผลที่ทำให้เป็นที่รักของคนอื่นในฐานะไอดอล ก่อนหน้านี้เคยตั้งใจว่าจะไปในทางคนหล่อใช่ไหม?

💜 ไม่ๆๆๆ ตอนนี้ผมเองก็ยังคิดว่าตัวเองหล่ออยู่นะครับ! ครับ! แต่ว่ายังไงดีนะ จะให้ฝืนแสดงเป็นคนหล่อที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูดจามันก็รู้สึกว่าไม่ใช่ครับ ผมไม่คิดจะสร้างคาแรคเตอร์อยากจะเป็นตัวผมอย่างที่ตัวเองเป็น ซึ่งนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นในทางไหนนะครับ

──พวกรุ่นพี่เองก็เอ็นดูจริงๆ ด้วยนี่นะ อย่างฟูมะคุงอย่างนี้

💜 ขอโทษด้วยนะครับที่เล่าเรื่องที่สนามบินลอสแองเจลลิสหลายครั้งแล้ว เพราะผมไปซื้อน้ำแอปเปิ้ลเลยมาขึ้นเครื่องช้า ฟูมะคุงเลยซื้อตั๋วที่ค่อนข้างแพงให้ใหม่ สุดยอดเลยครับ ความใจกว้างที่ประเมินไม่ได้นั่น ถ้าเป็นผมคงจะบ่นจุกจิกหลายรอบว่า “ทำกันได้นะ!” แน่นอน พอถึงญี่ปุ่นแล้วผมขอโทษอีกรอบ (ฟูมะคุง)ก็บอกว่า “พนักงานต้อนรับดีมาก ถือว่ามีค่ายิ่งกว่าราคาตั๋วอีกนะ” ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอยู่เลยครับ

──เห็นพูดชื่อรุ่นพี่ออกมามายมาย มีรุ่นพี่ที่ชอบคนอื่นอีกไหม?

💜 ชอบ 4U(ふぉ〜ゆ〜) ทุกคนเลยครับ ผมชอบที่สุดเลย เพราะช่วยสนับสนุนผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยตอน “SHOCK” อย่างเต็มที่ครับ เป็นคนดีกันจริงๆ ตอนนี้พอได้เจอก็ยังดีใจมากอยู่ครับ

──แล้วจากนี้ไป คิชิคุงมีเรื่องที่อยากท้าทายบ้างหรือเปล่า

💜 ถ้าบอกว่าให้ลองทำดู ไม่ว่าอะไรก็จะทำครับ โชริเคยบอกผมว่า “น่าจะเหมาะกับรายการว่าไรตี้แน่ๆ” มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วครับ แต่ผมไม่เก่งการสื่อสารกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเลยคิดว่าไม่มีทางไหวมาตลอดครับ แต่พอมีประสบการณ์มากเข้าก็เริ่มไหวขึ้นมาทีละนิด รู้สึกว่าถ้าไม่ลองทำดูก็ไม่รู้ ดังนั้นเลยตั้งใจว่ากับเรื่องที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์จะยังไม่ตัดสินไปก่อนว่าตัวเองชอบหรือเกลียดครับ ต้องลองทำดูก่อน ผมได้เรียนรู้ว่าคนรอบข้างจะรู้เรื่องของตัวเราเองดีกว่าตัวเองครับ แต่การคิดจะท้าทายกับเรื่องที่ได้เจอเป็นครั้งแรกหรือเรื่องที่ไม่ถนัด ในใจผมเองก็ยังมีต่อต้านอยู่ครับ ในเวลาแบบนั้นจะย้ำกับตัวเองว่า “ไม่ลองก็ไม่รู้!” ครับ ถ้าได้ลองท้าทายแล้วต้องได้เรียนรู้อย่างแน่นอน

──”G Men” ที่มีกำหนดฉายฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เองก็เป็นการท้าทายกับการแสดงเป็นตัวเอกในภาพยนตร์ครั้งแรกสินะ

💜 ตอนนี้อยู่ในระหว่างการถ่ายทำครับ อยากให้อดใจรอกันจนกว่าจะฉายนะครับ แน่นอนผมอยากแสดงให้เก่งกว่านี้ และอยากให้การร้องเพลง การเต้น และอะไรที่แสดงออกได้ทุกอย่างนั้นเก่งขึ้น เรื่องที่ต้องท้าทายมีเยอะเลยครับ ผมน่ะยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพหรอกนะครับ เพราะการจะมีอะไรที่เป็นของจริงจริงๆ นั้นมันยาก แน่นอนว่าสมาชิกแต่ละคนก็อยากจะได้อะไรที่ว่า “อาวุธของหมอนี่คืออันนี้!” ครับ

──มาตรฐานที่เหมาะจะเรียกว่ามืออาชีพของคิชิคุงคืออะไร?

💜 อื-ม รู้สึกว่าไม่มีที่สิ้นสุดครับ ไม่มีที่สิ้นสุด และเพราะไม่มีที่สิ้นสุดเนี่ยแหละถึงทำได้แค่มุ่งหน้าไป อย่างน้อยที่สุดแล้วการจะตัดสินว่าเป็นมืออาชีพหรือเปล่านั้นคือการตัดสินจากคนรอบข้างไม่ใช่ตัวเองเป็นคนตัดสินครับ สักวันก็อยากให้คนบอกกับผมว่า “อาวุธของคนคนนี้คืออันนี้นะ” ในตอนนั้นคือมืออาชีพครั้งแรกครับ แน่นอนว่าการถูกเรียกว่าเป็นคนชั้นหนึ่งนั้นมันยากครับ

──แล้วมีเรื่องที่ได้ท้าทายแบบส่วนตัวบ้างหรือเปล่า?

💜 การกลั้นหายใจในอ่างอาบน้ำครับ ระยะหลังมานี้เพิ่งรู้ว่าการจะเป็นนักประดาน้ำได้ต้องดำน้ำให้ได้สองนาทีครึ่ง ไม่ได้จะไปเป็นนักประดาน้ำหรอกนะครับ แต่พออาบน้ำในอ่างที่บ้านแล้วก็มักจะลองท้าทายดูครับ แล้วก็จับเวลาเอง

──ดูท่าจะดำได้สองนาทีครึ่งไหม?

💜 ไม่เลย ช่วงหลังนี่เอาง่ายๆ ก็ไม่รู้ว่ากี่วินาทีครับ พอดำปุ๊ปก็รู้สึกตัวว่าตัวเองลืมเอานาฬิกาจับเวลามา คราวหน้าต้องจับแน่นอน ถ้าเกิดทำได้สองนาทีครึ่งเมื่อไหร่จะมารายงานนะครับ

──ฝากด้วยนะ เอาล่ะ แล้วมีความฝันอะไรที่อยากให้เป็นจริงในฐานะวงไหม?

💜 ออกเพลงที่เหนือกว่า “Cinderella Girl” ครับ ที่ว่าเหนือกว่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขนะครับ แต่ให้เหนือกว่าในแง่ความทรงจำของทุกคนด้วย ให้บอกว่า “’Cinderella Girl’ เองก็ดีแหละ แต่ชอบเพลงนี้มากกว่า” ก็ได้ หรือว่า “พอฟังเพลงนี้แล้วพยายามขึ้นมาได้” ก็ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าอยากให้มันเหนือกว่าเยอะๆ น่ะครับ แล้วก็ความฝันที่จะจัดโดมทัวร์คราวนี้ก็เป็นจริงแล้วเลยอยากจะทำต่อไปให้ได้นานๆ ครับ อยากให้คนมากมายได้เห็นกันมากกว่านี้ อยากเจอกับคนให้เยอะกว่านี้ในหลายๆ สถานที่อย่างโคคุริทสึ (สนามกีฬาแห่งชาติ) หรือในสถานที่แสดงไลฟ์หลายๆ แห่งครับ

──เอาล่ะ ช่วยบอกความฝันแบบส่วนตัวด้วย

💜 ความฝันของผมกับความฝันของวงแทบจะเป็นอันเดียวกันเลยครับ อยากให้คนที่อ่านสัมภาษณ์อันนี้ และคุณที่กำลังอ่านอยู่ในตอนนี้ยิ้มได้ ขอบคุณจริงๆ ครับ ผมเคยตั้งใจว่าจะเข้าใจความสำคัญของแฟนๆ ทุกคน แต่สิ่งที่คิดขึ้นมาได้อีกครั้งหลังโควิดผ่านพ้นไปนั่นคือความรู้สึกขอบคุณที่ได้แสดงไลฟ์และอยู่ในบรรยากาศเดียวกันกับผู้ชมครับ แบบรู้สึกว่าการที่ทุกคนมาที่สถานที่จัดงานนั้นคือสิ่งที่ประเสริฐมาก จากนี้ไปก็อยากให้มาหากันตลอด และอยากแสดงอะไรหลายๆ อย่างต่อหน้าทุกคน เพราะงั้นอย่าเบื่อกันนะครับ อยากเป็นตัวตนที่อยู่ในซอกหลืบของชีวิตประจำวันของทุกคน ถึงจะไม่ใช่ King & Prince หนึ่งวงต่อหนึ่งครอบครัวก็เถอะครับ อย่างน้อยถ้าทำให้ร่าเริงขึ้นได้ก็พอแล้ว นั่นแหละคือความปรารถนาของพวกเรา แน่นอนว่าจะทำให้ไม่เบื่อได้หรือเปล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของพวกผมด้วยแหละครับ จะไม่มีทางทำให้เบื่อแน่นอน ยังไงก็ช่วยวางใจและตามพวกผมมาด้วยนะครับ!!!



สัมภาษณ์・เรียบเรียง / Mizuno Mitsuhiro


Post a Comment

0 Comments