[TRANS] Jinguji Yuta 10000 words Long Interview (Myojo May 2022)

 

     สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับซีรีย์แก้บนของเรากันในครั้งที่ 3 ซึ่งก็ถือได้ว่ามากันครึ่งทางแล้วกับการแปล 10000 อักษรรายคนของคิงปุริ ซึ่งในคราวนี้เป็นตาของคุณจิน และเดือนนี้มากันเร็วสักนิดนึงเพราะช่วงปลายเดือนมีภารกิจส่วนตัวที่อาจจะมาอัพไม่ได้ เลยมาจัดการในส่วนของเดือนนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เลยอาจจะเห็นว่าอัพติดๆ กันหลายอันค่ะ


     สำหรับรูปภาพที่ลงในบล็อก เราใช้เป็นรูปเซ็ตซิงเกิล We are young / Life goes on ซิงเกิลล่าสุดของคิงปุริ เหมือนเดิม ไม่ใช่รูปจากนิตยสารนะคะ แจ้งไว้ตรงนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ (แม้ตอนนี้ใจจะอยากเปลี่ยนเซ็ตรูปเป็นอีกเซ็ตนึงก็ตาม แต่ในเมื่อลงไปแล้วก็อยากให้เป็นเซ็ตเดียวกันทุกคนค่ะ 555) และในส่วนของบทสัมภาษณ์ก็มาจากเว็บไซต์ของทางเมียวโจที่ลงบทสัมภาษณ์นี้ให้อ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และขอเคลมเหมือนเดิมเช่นเคยว่าเราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


 10000 words Long Interview 


 สมัยผมเป็นJr. 

 ฉบับ King & Prince 👑 

 ครั้งที่ 3 


 ชื่อเล่นที่แฟนๆ ทุกคนช่วยตั้งให้ 
 สำหรับผมแล้วนั่นคือเหรียญตรา 

  💙 神宮寺勇太💙  

จินกูจิ ยูตะ

เกิดวันที่ 30 ตุลาคม 1997 บ้านเกิดจิบะ เลือดกรุ๊ป O ความสูง 175 ซม.
เข้าจอนห์นี่ส์วันที่ 30 ตุลาคม 2010
CD เดบิวต์ในฐานะ King & Prince เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2018

จินกูจิส่งประวัติไปตอนสมัยม.1
และได้เป็นจอห์นนี่ส์ Jr. ในวันเกิดของตัวเองราวปาฏิหาริย์
ตั้งแต่ตอนนั้นมาผ่านมาประมาณ 12 ปี
จุดเปลี่ยนจากยุค “กูจิกะล่อน (chara-guchi)” ไปสู่ “แฟนหนุ่มแห่งชาติ”
จากการหาคาแรคเตอร์ของตัวเองเรื่อยมา
และสักวันหนึ่งจะต้องเป็น “แฟนหนุ่มระดับโลก” แน่นอน
ตามรอยเขาผู้เติบโตอย่างงดงามต่อเนื่อง



  “สนิทกับคิชิไว้นะ เพราะต้องได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแน่นอน”  


──สำหรับคนที่ 3 ของฉบับ King & Prince คือ “แฟนหนุ่มแห่งชาติ” จินกูจิ (ยูตะ) คุง วันนี้ขอรบกวนด้วยนะ

💙 ขอรบกวนด้วยนะครับ ชื่อเล่น “แฟนหนุ่มแห่งชาติ” เนี่ย แฟนๆ ตั้งให้ผมครับ ตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรียกแบบนั้น ไม่ชินสักทีเลยครับ (หัวเราะ)

──คิดว่าเป็นชื่อเล่นที่เหมาะดีออก เอาละ จะขอถามตั้งแต่เรื่องสมัยเด็กเลย สมัยเด็กเคยมีประสบการณ์ได้ที่ 2 ในการแข่งขันคาราเต้ทั่วประเทศที่เริ่มเล่นมาตั้งแต่ป.2 ด้วย เป็นหนุ่มน้อยนักกีฬานะนี่

💙 ผมเล่นหลายอย่างไม่ใช่แค่คาราเต้ ยังมียิมนาสติก ฟุตบอล ว่ายน้ำด้วยครับ ถึงจะเลิกว่ายน้ำทันทีเพราะสภาพร่างกายผมเป็นคนเลือดกำเดาไหลง่ายก็เถอะ

──แล้วอะไรเป็นสาเหตุให้หนุ่มน้อยนักกีฬาแบบนั้นสนใจจอห์นนี่ส์ได้ล่ะ?

💙 จู่ๆ ผมก็ได้รู้จัก SMAP แล้วตอนนั้นละครที่จอห์นนี่ส์แสดงอย่าง “PRIDE” “Nobuta wo Produce” “Hana yori Dango” ได้รับความนิยมมาก ถ้าไม่ดูละครวันต่อไปจะตามบทสนทนาในห้องเรียนไม่ทัน พอรู้สึกตัวก็หลงใหลเข้าเสียแล้วน่ะครับ สมัยประถมเคยพูดกับแม่ว่า “อยากสมัครออดิชั่นของจอห์นนี่ส์” ด้วย แล้วแม่ก็บอกว่า “รอจนถึงม.ต้นก่อนนะ ถ้าเป็นเด็กประถมที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ถึงเข้าไปได้ก็ไม่ทำต่อหรอกลูก” น่ะครับ

──งั้นที่สมัครออดิชั่นตอนม.1 นี่คือรอจังหวะที่เข้าม.ต้นแล้วส่งใบประวัติไปพร้อมกันเลยสินะ

💙 ถ้าแบบนั้นก็เหมือนละครเลยนะครับ แต่ไม่ใช่แบบนั้นครับ สมัยประถมถึงจะบอกว่า “อยากเข้า” แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนซื้อล็อตเตอรี่ ที่ถึงจะหลงใหลแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปจริงๆ น่ะครับ แต่เดิมแล้วในตอนนั้นผมไม่ชอบยืนต่อหน้าผู้คนด้วย ช่วงที่ส่งใบประวัติตอนม.ต้นก็ไม่ได้ส่งไปแบบตั้งใจเต็มที่ แค่นึกถึงคำที่แม่เคยพูดว่า “รอจนถึงม.ต้นก่อนนะ” ขึ้นมาโดยบังเอิญตอนที่ไปซื้อของกับคุณตา แล้วคุณตาก็ซื้อใบประวัติให้เลยว่าลองส่งไปแล้วกันเฉยๆ น่ะครับ

──อย่างนี้นี่เอง

💙 ครับ ตอนได้รับการติดต่อมาว่า จะมีการออดิชั่น ให้มาด้วย นั้นก็หลังจากนั้นครึ่งปี เพราะงั้นตัวผมเองเลยลืมไปเสียสนิทแล้วครับว่าสมัครไป ปกติแล้วเห็นว่าจะส่งมาเป็นแฟกซ์นะครับ แต่แฟกซ์เสียพอดีเลยโทรมา ผมสงสัยด้วยครับว่าไม่ใช่พวกต้มตุ๋นแน่นะ (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ แล้วออดิชั่นเป็นไงบ้าง?

💙 ตะลึงเลยครับว่า “ในโตเกียวมีคนเท่ๆ อยู่เยอะขนาดนี้เลยนะ!”

──แล้วคิดว่าจะได้เข้าไหม?

💙 อย่าว่าแต่มีแนวโน้มจะได้เข้าไหมเลย ขนาดตอนนี้ตัวเองทำอะไรอยู่ยังไม่รู้เลย ทั้งที่คิดว่าจะเป็นแนวสัมภาษณ์ แต่จู่ๆ ก็กลับให้เต้นซะงั้น

──ในการออดิชั่นมีสมาชิกเด่นๆ อย่าง (ซาโต้) โชริคุง เมกุโระ (เร็น) คุง มิยาชิกะ (ไคโตะ) คุงเข้าร่วมด้วยนี่นะ

💙 โชริคุงเนี่ยในบรรดาผู้เข้าร่วมก็รู้สึกได้ว่าพิเศษครับ แบบมีออร่าโดดเด่นน่ะครับ แต่ก็มีจุดร่วมกับผมเหมือนกัน คือทุกคนใส่สเว็ตเตอร์แฟชั่นมากัน แต่มีแค่ผมกับโชริที่ใส่เสื้อพละสุดจะเชยน่ะครับ (หัวเราะ)

──แล้วกิจกรรมของ Jr. หลังจากนั้นล่ะ?

💙 สนุกเหมือนกิจกรรมชมรมเลยครับ แต่ก็กลัวอยู่ตลอดเพราะไม่รู้ว่าจะไม่เรียกไปอีกเมื่อไหร่น่ะครับ เพราะนั่นไม่ใช่แค่การบอกว่าผ่านแล้ว ถึงจะถูกเรียกไปตอนมีงานแต่ก็รู้สึกอยู่ตลอดเลยครับว่า “วันนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”

──หลังจากนั้นก็ได้เจอกับคิชิ (ยูตะ) คุงที่รู้จักกันมานานและเข้ามาที่บริษัทก่อนจินกูจิคุงหนึ่งปี ความประทับใจตอนเจอกันเป็นยังไง?

💙 ผมรู้จักตัวอยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยด้วย พอได้อยู่ด้วยกันตอน “SUMMARY” ปี 2011 ก็สนิทกันมากๆ เลยครับ แล้วก็หลังจากนั้นมั้ง จอห์นนี่ซังก็บอกว่า “ยูสนิทกับคิชิไว้นะ เพราะต้องได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแน่นอน” จอห์นนี่ซังคงมองเห็นอะไรบางอย่างมั้งครับ แต่ว่าผมไม่เข้าใจความหมายเลยบอกไปว่า “ครับ แต่ถึงไม่บอกก็สนิทกันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก!"


  จากกูจิกะล่อนในวัยต่อต้าน กลายมาเป็นแฟนหนุ่มแห่งชาติ  


──หลังจากเข้าบริษัทมาเกือบหนึ่งปี รู้สึกอย่างไรที่โชริคุงได้เดบิวต์ใน Sexy Zone ตอนปี 2011?

💙 ไม่ได้รู้สึกแพ้หรือท้อใจเลยแม้แต่นิดเดียวครับ แบบว่าดีจัง อิจฉาจังเลย แต่เพราะการเดบิวต์ของ Sexy Zone เป็นเหตุที่ทำให้คิดว่าตัวเองก็เข้าจอห์นนี่ส์มาแล้ว สักวันก็อยากเดบิวต์ขึ้นมาน่ะครับ

──ในสัมภาษณ์เก่าๆ เคยพูดว่า “ความฝันคือการเดบิวต์” เอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจริงๆ ด้วยสินะ

💙 ยังจำได้อยู่เลยครับว่าตอนเก็บข้อมูลสัมภาษณ์นิตยสาร เพราะตั้งใจตอบไปว่า “อยากเดบิวต์ครับ!” ทั้งที่เพิ่งเข้ามาเป็น Jr. ปีเดียวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำให้คุณไรเตอร์ทำหน้าบอกไม่ถูกแล้วพูดว่า “…พะ พยายามเข้านะ” (หัวเราะ)

──ที่โดนเรียกว่า “กูจิกะล่อน” ก็ในช่วงนี้สินะ?

💙 ใช่แล้วครับ ทั้งทำผมน้ำตาลเอย ทำผมทองเอย แล้วยังเสื้อผ้าอีก วัยต่อต้านล่ะมั้ง!? พอตอนนี้ย้อนกลับไปมองน่าจะเรียกได้ว่าพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้โดดเด่นเพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงให้น่าดึงดูดดี อาจเป็นการบลัฟแบบทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองดูโตล่ะมั้งครับ

──ทำตัวกะล่อนแล้วมีอะไรเสียหายบ้างไหม?

💙 กะล่อนแล้วเสียหายเหรอครับ!? น่าจะสะดุดตาในทางร้ายๆ แล้วโดนโกรธบ่อยล่ะมั้ง แต่ผมไม่สนใจนะ ถึงโดนโกรธก็ตอบไปว่า “คร้า~บ” เพราะการโดนโกรธเนี่ยมันเด่น เลยคิดไปในด้านบวกซะงั้นว่า “มองผมอยู่ล่ะซี่ สนใจล่ะซี่” (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ

💙 แต่น่าประหลาดที่ไม่เคยโดนจอห์นนี่ซังโกรธนะครับ อย่างตอนที่ทำผมทองเนี่ยยังโดนแหย่เลยครับว่า “ฟ้าผ่าลงหัวยูแน่ะ!

──แล้วหมดวัยต่อต้านได้ยังไง?

💙 อื-ม มีหลายเรื่องที่ผมอยากฝากผลงานไว้เลยทำเรื่องไร้ประโยชน์ไว้มากมายก็จริง แต่ตอนนั้นผมได้เป็นแบ็คของ Sexy Zone ในฐานะ Sexy Boyz อยู่ (คิคุจิ) ฟูมะคุงเคยพูดไว้น่ะครับว่า “ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าว่าจะเป็นที่หนึ่งอย่างไร้จุดหมาย จงก้าวใปในเส้นทางที่ตัวเองเชื่อมั่น” คิคุจิคุงปกติแล้วจะพูดล้อเล่นอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนั้นดูเป็นผู้ใหญ่เท่มากเลยครับ

──จินกูจิคุงเองตอนนี้ก็มีภาพจำว่าเป็นคนใส่ใจรุ่นน้อง ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็จะไปดูไลฟ์ของรุ่นน้องที่ชวนมานะ

💙 เรียกว่าเพราะได้รุ่นพี่ดีก็เลยอยากตอบแทนกลับไปให้หมด หรือจะเรียกว่าส่งต่อบุญคุณกันเนี่ย!? ผมไม่มีอะไรที่จะทำให้รุ่นพี่ได้ คราวนี้เลยต้องทำเรื่องที่เคยได้รับมาให้รุ่นน้องน่ะ

──ปี 2013 (ทาคาฮาชิ) ไคโตะคุงเข้าบริษัทมา บอกว่าตอนเจอกันครั้งแรกโดนเข้ามาจับมือเขย่าเหมือนแร็ปเปอร์ แถมยังบอกว่า “สมเป็นกูจิกะล่อน” เลยนะ

💙 ไคโตะก็เว่อร์ตลอดแหละครับ เล่าเรื่องเล่นใหญ่ขึ้นทุกปี (หัวเราะ) จำได้ว่าเข้าไปชวนคุยก่อนจริงๆ แหละครับ แต่จับมือเขย่าเนี่ย… ทำหรือเปล่านะ

──ภาพจำของจินกูจิคุงของนางาเสะ (เร็น) คุงก็คือ “คนที่กำลังส่ายสะโพก” นะ

💙 ภาพจำผมมีแต่อะไรแย่ๆ เลยนี่นา! ถึงจะส่ายสะโพกบ่อยจริงก็เถอะ (หัวเราะ) การเลียนแบบคาเมนาชิ (คาสึยะ) คุงกำลังฮิตในหมู่ Jr. แล้วจู่ๆ วันนึงผมก็ได้ขึ้นไปทำบนเวทีครับ ผมว่าตอนนั้นทั้งรูปลักษณ์ทั้งการการะทำ ไม่ว่ายังไงก็น่าจะดูกะล่อนสุดๆ ครับ

──แต่ฮิราโนะ (โช) คุงเองตอนแรกก็คิดว่ากะล่อนเหมือนกัน แต่บอกว่า “พอได้แสดงละครเวทีด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนไปแบบ 180 องศาเลย เข้าใจเหตุผลดีเลยว่าทำไมถึงถูกเรียกว่า ‘แฟนหนุ่มแห่งชาติ’” นะ

💙 ทั้ง “กูจิกะล่อน ทั้ง “แฟนหนุ่มแห่งชาติ” เป็นชื่อที่แฟนๆ ตั้งให้น่ะครับ ทั้งที่ไม่ได้เปิดรับชื่อเล่นแต่กลับตั้งให้ รู้สึกขอบคุณจริงๆ ครับ เซนส์ในการตั้งชื่อดีมากจนตกใจตลอดเลยครับ คงตั้งใจดูผมเต็มที่แล้วนึกขึ้นมาได้แน่นอนเลยสินะครับ รู้สึกว่าได้เป็นที่รักเลยครับ

──นั่นสินะ

💙 Sexy Boyz เนี่ยมีการเปลี่ยนตัวสมาชิกกันบ่อยมาก ตอนได้จับกลุ่มกับคิชิคุงหรือพวกมิยาชิกะก็ได้แฟนๆ ช่วยตั้งชื่อให้ด้วยครับ เคยโดนเรียกว่า “MAGIC” ด้วย กิจกรรมของสมาชิกในตอนนั้นสนุกมากจริงๆ เคยคิดด้วยว่า “สักวันถ้าได้เดบิวต์ด้วยสมาชิกกลุ่มนี้ล่ะ” แต่เพราะรู้ความรู้สึกของมิยาชิกะที่มีต่อ Travis Japan ด้วยก็เลยรู้สึกสับสน ตอนออดิชั่นสมาชิกของ Travis Japan จอห์นนี่ซังชวนว่า “มาดูนะ” เพราะทราวิส เพย์นที่ออกแบบท่าเต้นให้ไมเคิล แจ็กสันจะมา และผมก็อยู่ที่สถานที่ออดิชั่นด้วยครับ ผมว่าผมคงไม่ได้เข้าวงนี้เพราะทุกคนเต้นกันเก่งมากๆ ดังนั้นถึงแม้จะอยากทำกิจกรรมกับมิยาชิกะด้วยกันตลอดไป และผมเตรียมใจและคุยกับมิยาชิกะไว้แล้วว่าตราบใดที่ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของ Travis Japan สักวันก็ต้องเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน เพราะถ้าสมมติว่าตอนที่ฝ่ายไหนได้เดบิวต์แล้วก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์มันแย่ลงน่ะครับ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังสนิทกันดี แล้วผมก็เชื่อว่าสักวัน Travis Japan จะได้เดบิวต์


  อยากยืนอยู่บนเวทีกับสมาชิกกลุ่มนี้  


──จากนั้นปี 2015 ก็ได้ยืนไปยืนบนเวที “Johnnys Ginza 2015” ในฐานะสมาชิกของ King & Prince สินะ

💙 จอห์นนี่ซังบอกว่า “คราวนี้กับสมาชิกกลุ่มนี้นะ” ที่จริงแล้วก็เคยคิดนะครับว่า “ทำไมต้องแสดงกับ 6 คนนี้ด้วยนะ?” แต่(จอห์นนี่ซัง)บอกว่า “เอาเป็นว่าลองดูก่อนแล้วกันน่า” แล้วคอนเสิร์ตก็เริ่มขึ้นทั้งที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย จากนั้นก็รู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนถึงบัดนี้ครับ คอนเสิร์ตทั่วไปนั้นผมจะรับพลังมาจากผู้ชม แล้วพวกผมก็จะขยายพลังเหล่านั้นให้ใหญ่ขึ้นคืนกลับไปให้ผู้ชม แล้วผู้ชมก็จะรู้สึกถึง(พลัง)นั้นมากขึ้นไปอีกครับ และนั่น ในคอนเสิร์ตนั้นไม่ใช่แค่จากผู้ชมเท่านั้น ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่คอยผลักดันอยู่ด้านหลังพวกเราและเวทีด้วยน่ะครับ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกว่า “อยากยืนบนเวทีด้วยกันกับสมาชิกกลุ่มนี้อีก” สมาชิกทุกคนเองก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน เป็นเวทีที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นไปได้อะไรใหม่ๆ เลยครับ

──อย่างนี้นี่เอง

💙 จากนั้นอีกประมาณหนึ่งเดือนมั้ง สมาชิกในตอนนั้นก็โดนจอห์นนี่ซังเรียกมาที่ที่เหมือนดินเนอร์ในชิบุย่า นอกเหนือจากนั้น ท่ามกลางลูกค้ามากมาย(จอห์นนี่ซัง)ก็พูดว่า “จะให้แสดงที่ EX Theater ด้วยสมาชิกกลุ่มนี้ เพราะงั้นพยายามเข้านะ คิดชื่อวงไว้แล้วด้วย Mr.King vs Mr.Prince น่ะ” หัวใจผมเต้นรัวพร้อมกับตื่นเต้นว่า “จอห์นนี่ซัง ลูกค้ารอบๆ เขาได้ยินกันหมดแล้ว ไม่เป็นไรเหรอครับ!?” ด้วยครับ

──เสียงตอบรับของ “SUMMER STATION” ดีมากเลยนะ

💙 ขอบคุณครับ แบบรับรู้ได้จริงๆ น่ะครับว่า “อาจจะได้เดบิวต์จริงๆ ก็ได้”

──แต่หลังจากนั้นก็แยกการทำกิจกรรมของ Mr.King กับ Mr.Prince ออกจากกัน

💙 ใช่แล้วครับ อ๊ะ นึกขึ้นมาได้ เป็นช่วงเวลาครึ่งปีที่เหมือนนรกเลยครับ ไม่มีงานในฐานะ Mr.Prince เลยประมาณครึ่งปีได้

──ตอนนั้นเลยฝึกซ้อมการร้องเพลงกับกีตาร์ใหญ่เลยสินะ?

💙 ซ้อมครับ ซ้อมหนักสุดๆ เลยครับ ยังไงดี แบบถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมันจะกระวนกระวายจนนั่งไม่ติด เรียกได้ว่าร้อนรนสุดๆ ครับ ตอนนี้เองถึงคิดได้ว่าการซ้อมกีตาร์และร้องเพลงอย่างหนักหน่วงในตอนนั้นมันเป็นประโยชน์มากจริงๆ มีช่วงเวลาที่คิดด้วยว่าถึงพยายามไปก็ไม่ได้อะไรตอบแทน แต่ว่าจังหวะที่สักวันนึงคิดขึ้นมาได้ว่าดีแล้วที่ทำไว้ก็มาถึงครับ ที่พูดอยู่ตลอดว่าชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรที่เปล่าประโยชน์เป็นเรื่องจริงนะครับ คิดถึงจังนะครับ ตอนนั้นที่จริงแล้วสมาชิกของ Mr.Prince มารวมตัวกันแล้วพูดคุยกันหลายเรื่องเลย ว่าจากนี้ไปจะทำยังไงกันต่อ สุดท้ายแล้วคืออยากเก็บประสบการณ์หลายๆ อย่างให้มากกว่านี้ อยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ดังนั้นเลยไปบอกจอห์นนี่ซังว่าของานด้วยเถอะครับ ไม่ว่าอะไรก็ทำทั้งนั้น จากนั้น ประมาณสองวันให้หลังก็ได้งาน “Mayonaka no Prince” มา แล้วใช้โอกาสที่จอห์นนี่ซังมอบให้อย่างเต็มที่ครับ

──ช่วงครึ่งปีที่ไม่มีงาน ไม่คิดจะลาออกจาก Jr. บ้างเหรอ?

💙 พูดตามตรง ผมหัวใจแทบสลาย ยิ่งคิดไปว่าอาจมีโอกาสได้เดบิวต์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งช็อคหนักที่ไม่มีงานครับ ตอนนั้นเป็นช่วงตอนที่เจ็บปวดที่สุดในช่วงที่เป็น Jr. เลยมั้ง แต่เพราะมีแฟนๆ อยู่เลยไม่คิดจะออกจากจอห์นนี่ส์ครับ เพราะผมไม่สามารถบอกลากับพวกแฟนๆ ได้จริงๆ แน่นอนว่าผมแทบจะท้อที่ไม่มีงานแล้วครับ และในระหว่างนั้น พวกคิชิคุงก็บอกว่า “ห้ามท้อนะ” ดังนั้น การที่ผมอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ได้ต้องขอบคุณแฟนๆ และพวกคิชิคุงด้วยครับ”


  วันที่จะได้เดบิวต์คือวันที่ดีใจที่สุดในชีวิต  


──จากนั้นในปี 2017 ในที่สุดก็ได้ไปพูดคุยกับจอห์นนี่ซังโดยตรงสินะ

💙 โชมาคุยด้วยน่ะครับ ตอนอยู่ด้วยกันแค่สองคน จู่ๆ ก็พูดว่า “มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” แล้วทำหน้าจริงจัง บอกว่า “ฉันว่าจะไปบอกจอห์นนี่ซังว่าอยากเดบิวต์” แล้วเล่าให้ผมฟังหลายเรื่องรวมถึงเหตุผลที่คิดแบบนั้นด้วย ผมโดนคำพูดของโชในตอนนั้นกระแทกใจจนตัดสินใจได้ครับ ตัวผมในตอนนั้นเคยลืมความรู้สึกที่ว่าอยากเดบิวต์ไปชั่วครู่หนึ่ง… เรียกว่าปิดผนึกไว้ในใจมากกว่าจะลืมน่ะ แบบคิดว่าต้องหลีกทางให้รุ่นพี่ที่คอยดูแลและเคารพสุดชีวิตและห้ามคิดว่า “อยากเดบิวต์” แต่โชบอกว่า “ความรู้สึกเคารพรุ่นพี่น่ะมีแน่นอน แต่ตราบใดที่ยังอยู่ในจอห์นนี่ส์ก็ห้ามลืมความรู้สึกที่อยากจะเดบิวต์ไปนะ”

──คุยกันแบบนั้นเองสินะ

💙 ครับ โชน่ะมาถามความเห็นแบบเป็นกลางเลยว่าผมคิดยังไง พอบอกไปว่าผมเองก็ตัดสินใจแล้วนะ และอยากเกลี้ยกล่อมสมาชิกคนอื่นด้วยคำพูดของตัวเองจริงๆ เลยบอกไปว่าอย่าเพิ่งบอกใครนะ เพราะงั้นเลยเรียกทุกคนมาประชุมกันโดยไม่บอกว่าเพื่ออะไร ผมสุดท้ายก็นัดประชุมรวมพลังกันอยู่ 2 ครั้งรวมความเห็นของสมาชิกให้เป็นหนึ่งแล้วค่อยไปพบจอห์นนี่ซังครับ

──ถ้าคุยโดยตรงแล้วไม่ได้ผลก็ตั้งใจจะลาออกสินะ

💙 ใช่ครับ ถ้าไม่เตรียมใจไว้ถึงขั้นนั้นน่าจะไม่กระแทกใจจอห์นนี่ซัง แล้วคำว่า “อยากเดบิวต์” ก็เป็นคำที่ห้ามพูดออกมาพล่อยๆ ด้วย

──และผลจากการพูดคุยโดยตรงก็คือโอเค

💙 แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่าย และในตอนแรกก็โดนปฏิเสธกลับมาด้วยครับ แต่ทุกคนยังมุ่งไปข้างหน้าเพราะเตรียมใจกันไว้แล้วครับ คิดกันว่า “ไปขอร้องกันทุกวันเลยเหอะ!” จอห์นนี่ซังเลยให้พบหน้าแล้วบอกว่ามากันอีกแล้วนะเพราะมาขอร้องกันอยู่หลายวัน (หัวเราะ) เป็นอันว่าถึงจะไม่ยอมพูดว่าเยสจนถึงท้ายสุดเพราะอยู่ระหว่างการแสดงละครเวที พอรู้ตัว(จอห์นนี่ซัง)ก็เชิญคนจากบริษัทเพลงหลายแห่งมาให้ บอกว่า “เรียกมาไว้ก่อนน่ะ เพื่อพวกเธอ” ได้แต่ขอบคุณล่ะครับ

──จากนั้นก็มาถึงประกาศเดบิวต์ในวันที่ 17 มกราคม 2018

💙 วันที่จะได้เดบิวต์คือวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตผมเลยครับ แต่ในขณะเดียวกันก็เสียใจที่ต้องเก็บเรื่องที่จะได้เดบิวต์เอาไว้เป็นความลับด้วย หลังจากประกาศเดบิวต์ปุ๊ปก็ต้องรายงานกับ SixTONES และ Snow Man อีกครั้งครับ (พวกเขา)เป็นรุ่นพี่ที่เคารพนะครับ แต่ผมก็ยังตีความผิดไปครับ ผมคิดว่าเขาจะคิดยังไงกับเรื่องการเดบิวต์ของพวกผมก็เป็นเรื่องปกติ แต่พอไปเจอแล้วกลับอวยพรกลับมาอย่างยินดีว่า “ยินดีด้วย ถ้าพวกนายไม่ได้เดบิวต์ พวกฉันเองก็คงไม่ได้เดบิวต์หรอก!” ครับ ใจกว้างกว่าที่คิดมากเลยครับ เป็นพวกคนที่ยิ่งใหญ่และผมรักมากจริงๆ ครับ สำหรับผมแล้ว วันที่ดีใจที่สุดในชีวิตคือวันที่จะได้เดบิวต์ และวันที่ดีใจเป็นลำดับต่อมาคือวันที่ SixTONES และ Snow Man ได้เดบิวต์ครับ

──ประกาศเดบิวต์แล้วพ่อแม่เองก็ดีใจด้วยนี่?

💙 ใช่แล้วครับ เขาเป็นห่วงอยู่ตลอดเพราะเห็นคนที่ลาออกเพราะไม่ได้เดบิวต์มาแล้วน่ะครับ เลยอยากทำให้สบายใจขึ้นมาสักนิดถึงแต่แค่นิดหน่อยก็ตาม

──แล้วรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าเดบิวต์แล้วเมื่อไหร่กัน?

💙 วันที่แสดงทัวร์แรกหลังจากเดบิวต์ คอนเสิร์ตเดี่ยวที่โยโกฮาม่า อารีน่าครับ เราปรากฎตัวบนกอนโดล่าบัลลังก์ในตอนโอเพ็นนิ่ง ในจังหวะที่มองเห็นวิว แสงเพ็นไลท์ที่มีแค่สีของพวกเราจากด้านหนึ่งของที่จัดงานก็พุ่งเข้ามาที่ตาพรวดเดียวเลยครับ รู้สึกว่า “อ๊ะ นี่คือการเดบิวต์สินะ” ผมลืมภาพนั้นไม่ลงไปชั่วชีวิตเลยครับ

──มีความเปลี่ยนแปลงอะไรหลังเดบิวต์หรือเปล่า?

💙 อื-ม ก็มีที่คิดจะเปลี่ยนอยู่นะครับแต่เลิกไปแล้ว (หัวเราะ) สมาชิกทุกคนมีคาแรคเตอร์ที่เข้มข้นใช่ไหมล่ะครับ ตัวผมเองซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นเลยคิดถึงจุดยืนของตัวเองว่าจะทำอย่างไรดีน่ะครับ อย่างพวกรายการวาไรตี้ แน่นอนว่าจะเด่นตามลำดับความเข้มข้นของคาร์แรคเตอร์ เลยมาคิดว่าแล้วตัวเองจะแสดงออกยังไงดี แต่ก็เลิกคิดอะไรแปลกๆ ไปน่ะครับ แบบไม่จำเป็นต้องฝืนดันตัวเองออกไป ออกไปตอนจังหวะของตัวเองก็พอแล้ว เพราะถึงจะเป็น “กูจิกะล่อน” หรือ “แฟนหนุ่มแห่งชาติ” ก็ยังมีแฟนๆ ที่มองผมในแบบที่เป็นธรรมชาติและคอยติดตามผมอยู่น่ะครับ  ผมว่าการหลอกตัวเองแล้วคิดประโยคเด็ดของตัวเองด้วยตัวเองมันต่างออกไป ผมยังมีแฟนๆ ที่รู้จักตัวผมดีกว่าตัวผมเองอยู่ ดังนั้นเป็นตัวผมเองแบบที่ไม่ฝืนดีกว่า

──หลังจากเดบิวต์ก็ได้ทำคอนเสิร์ตนี่นะ

💙 ไม่ได้คิดจะทำหรอกนะครับ เคยคิดว่าไคโตะเหมาะจะเป็นคนคุมด้วย แต่ในปีที่เดบิวต์ (มัตสึโมโตะ) จุนคุงมาช่วยดูเรื่องการทำคอนเสิร์ตให้ เลยทำให้คิดอย่างกระตือรือร้นมากๆ เกี่ยวกับการทำคอนเสิร์ตน่ะครับ ตอนนั้นคนที่รู้เบอร์ติดต่อของจุนคุงคือผม ผมเลยรับหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสมาชิกกับจุนคุง ตอนที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมก็เลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำมาหลายอย่างน่ะครับ ถึงจะบอกทุกอย่างกับสมาชิกไป แต่คนที่ได้รับการสอนโดยตรงคือผม เลยคิดว่า อ๊ะ จะปล่อยให้ประสบการณ์นี้เสียเปล่าไปไม่ได้แม้แต่นิดเดียว จากตรงนั้นทำให้ผมเริ่มได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำคอนเสิร์ตทีละนิดน่ะครับ


  ถ้าอาละวาดไป ช่วยดุฉันด้วยเถอะ!  


──เอาละ ต่อไปช่วยฝากข้อความถึงสมาชิกหน่อย ก่อนอื่นเริ่มจากไคโตะคุง

💙 ไคโตะน่ะตลก แล้วก็มีหลายด้าน ที่ผมคิดว่าสุดยอดเป็นพิเศษคือด้านความคิดสร้างสรรค์ ตอนที่ขอร้องให้ช่วยคิดท่าเต้นในคอนเสิร์ตตอนแรก ผมตกใจเลยว่า “ทั้งที่ทำเรื่องสุดยอดขนาดนี้ได้แท้ๆ ทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรเลยมาจนถึงตอนนี้ล่ะ!” แล้วยังมีอาวุธอีกมากมายซ่อนเอาไว้อยู่ครับ

──พึ่งพาได้นะเนี่ย

💙 ตะกี้ผมก็พูดไปแล้วว่าผมเคยคิดว่าไคโตะเหมาะจะเป็นคนทำคอนเสิร์ต แต่อาจเป็นเหตุผลแปลกๆ สักหน่อยนะครับ ผมว่าผมทำน่ะดีแล้ว เพราะไคโตะน่ะใจดีแล้วก็ชอบลังเลอยากใช้ความคิดเห็นของใครๆ ไปซะหมด อย่างเช่นถ้าผมออกไอเดียอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการคุมงานก็น่าจะเอาไปใช้แน่ๆ ดังนั้นให้ผมเป็นคนทำหน้าที่คุมงาน แล้วเป็นฝั่งที่เอาความคิดเห็นของไคโตะมาใช้น่าจะได้ใช้พรสวรรค์ของเขามากกว่า แน่นอนว่าเอาไอเดียของไคโตะมาใช้ทุกอย่างไม่ได้ คือถ้าไม่เอามาใช้ไม่ว่าใครก็คงซึมใช่ไหมล่ะครับ แล้วไคโจะที่ละเอียดอ่อนก็น่าจะยิ่งเป็นเข้าไปใหญ่ แต่ว่าหมอนั่นก็บอกนะครับว่า “มีบางเวลาที่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ต่อจากนี้ฉันจะพูดสิ่งที่ฉันคิดว่าดีไปเรื่อยๆ นะ” พรสวรรค์ด้านความคิดสร้างสรรค์คืออาวุธของไคโตะครับ แต่ผมว่าอาวุธที่สุดยอดที่สุดของไคโตะคือความเข้มแข็งที่ถึงแม้จะเจ็บปวดล้มลง แต่ก็จะลุกขึ้นยืนใหม่ได้ทุกครั้งครับ

──ต่อไปนางาเสะคุง

💙 เร็นเหรอ ก็ขอบคุณในหลายๆ ส่วนนะ แต่ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณที่รับหน้าที่เป็น MC ให้ตลอดเลย จริงๆ แล้วอาจจะอยากนำเสนอตัวเองมากกว่านี้หรอก แต่ก็ยังเป็นคนคอยนำ MC ให้ คือ MC ของ King & Prince เนี่ยมันยากน่ะครับ แล้วการที่จะทำยอมทำต่อเนื่องมาได้เรื่อยๆ โดยไม่บ่นสักคำเนี่ยผมนับถือจริงๆ ครับ มันทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยผมนี่แหละที่ไม่เอา (หัวเราะ) แต่ว่า ถึงไม่ใช่การจูงสุนัขไปเดินเล่นก็เถอะ อย่าว่าแต่การจูงสุนัขหลายๆ ตัวเลย เพราะนี่มันคือการจูงสิงโต 4 ตัวไปเดินเล่นพร้อมกันเลยนะ MC ของ King & Prince น่ะ ต้องมีความสามารถในการคุมสัตว์ป่าด้วย

──ฮ่าๆๆ

💙 แล้วก็เร็นเนี่ยเป็นพวกไม่แสดงให้ใครเห็นตอนกำลังพยายาม ตอน “Uchi no Shitsuji ga Iu koto ni wa” ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้แสดงนำก็มาขอให้ผมที่มีประสบการณ์ด้านการแสดงถึงแม้จะแค่เล็กน้อยช่วยสอนหลายๆ อย่างให้ อาจจะไม่อยากให้พูดสักเท่าไหร่ แต่เขาพยายามมากอยู่เบื้องหลังและไม่รังเกียจการทำงานหนักเพื่อการเติบโตเลย เพราะเขาพยายามแบบนั้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ถึงได้มีผลงานมากมาย ผมรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะโชคดีหรือบังเอิญ ท่าเต้นในคอนเสิร์ตก็ด้วย ตอนนี้ก็ยังมาซ้อมเร็วกว่าคนอื่นครับ

──นางาเสะคุงเนี่ย สมัย Mr.King เคยรู้สึกมีปมด้อยเรื่องการเต้นเมื่อเทียบกับไคโตะคุงและฮิราโนะคุง แล้วจินกูจิคุงเลยรู้สึกมีปมด้อยกับสมาชิกคนอื่นด้วยไหม

💙 ไม่เคยครับ! แน่นอนว่าไม่ว่าสมาชิกคนไหนต่างก็มีสิ่งที่ผมไม่มีอยู่มากมาย แต่ถ้าพูดแบบกลับกัน ผมเองก็ต้องมีในสิ่งที่พวกเขาไม่มีเช่นกัน ดังนั้นเลยไม่รู้สึกมีปมด้อยครับ แต่เดิมแล้วจะคิดแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ? ผมน่ะเคยมีคนบอกว่าผมมองอย่างเป็นกลางได้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ผมแค่งี่เง่ามาตั้งแต่แรกแล้วเฉยๆ ครับ เพราะในจังหวะที่คิดแล้วไม่รู้จะทำยังไงดี ผมก็จะไม่คิดให้มันลึกลงไปกว่านั้นอีก (หัวเราะ)

──ต่อไป ฮิราโนะคุง

💙 อ๊า~ ยังไงดี นึกออกแต่เรื่องบ้าๆ บอๆ ของโช มันต้องมีเรื่องดีๆ บ้างสิ (หัวเราะ) King & Prince เนี่ยต้องขอบคุณที่มีโชกับคิชิคุงอยู่ ถึงได้ดูเหมือนผมทำอะไรได้เรียบร้อยจากกระบวนการคัดออก แต่ช่วงหลังๆ นี่แฟนๆ ก็รู้ซะแล้วว่าผมก็ค่อนข้างจะบ้าบอน่ะ ยิ่งผ่านไปแต่ละปีก็ทุกคนก็ยิ่งติดเชื้อบ้าครับ เคยถามโชด้วยว่า “โช ฉันบ้าบอขึ้นทุกปีๆ แล้วโชล่ะ?” แล้วโชก็ตอบว่า “เอ์? ฉันแต่กลับหัวดีขึ้นเรื่อยๆ นะ!” โกหกชัดๆ เลยครับ (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ

💙 แต่ถึงจะมีด้านที่บ้าบอ แต่ก็เป็นชายที่เร่าร้อนไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ได้พบกันเลยครับ แต่พอเร่าร้อนมากเกินไปแล้วตัดสินใจว่าจะเอาแบบนี้เลยมีที่เบรกไม่อยู่เหมือนกัน ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ตรงจุดนั้นแล้วบอกว่า “ในเวลาแบบนั้นช่วยดุฉันด้วยนะ!” ครับ ผมว่าเป็นคนที่เป็นเร็นเจอร์สีแดงมาตั้งแต่เกิดจริงๆ ตรงไปตรงมาและคิดถึงวงอย่างจริงใจ ผมเป็นประเภทที่คิดว่าเร็นเจอร์สีฟ้าที่ถอยลงมาก้าวนึงแล้วคอยดูภาพรวมของวงก็สำคัญ แต่วงเนี่ยจะมีแค่สีแดงหรือมีแค่สีฟ้าก็ไปได้ไม่สวยหรอก แต่ผมว่าคนที่แบกรับภาระหนักหนามากกว่าใครก็คือเร็นเจอร์สีแดงนะ สีแดงเนี่ยยืนเป็นเป้าโจมตีของวง ดังนั้นจึงต้องมีความเข้มแข็งที่จะไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ขอบคุณโชที่ยืนเด่นเป็นเซ็นเตอร์อยู่เท่าไหร่ก็คงไม่พอ

──สุดท้ายคิชิคุง

💙 คนที่นัดเจอกันมากที่สุดในชีวิต ไม่ใช่แค่นัดตอนไปอัดรายการ “Shounen Club” ที่สถานีฮาราจุกุเท่านั้น แต่ถ้ามีสถานที่ทำงานที่ไปครั้งแรก พวกผมจะต้องนัดเจอกันแล้วไปด้วยกันเสมอ คิชิคุงจะเดินนำไปบนถนนเส้นแรกก่อนเสมอและพูดว่า “ทางนี้นะ” พอนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าคิชิคุงเนี่ยสมัยก่อนเอาจริงเอาจังกว่านี้แฮะ (หัวเราะ)

──สมัย Jr. เคยไปทัวร์ของ Sexy Zone ด้วยกันกับคิชิคุง พอจบคอนเสิร์ตแล้วน่าจะเหนื่อยจนหมดแรงแท้ๆ แต่กลับซ้อมท่าเต้นของคอนเสิร์ตอื่นในห้องของโรงแรมกันสองคนด้วยนี่

💙 เคยครับ แบบดันเตียงไปชิดด้านหนึ่งให้มีพื้นที่แล้วซ้อมกันครับ อ๊ะ ระยะหลังนี่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปนะครับ เพราะตอน DREAM BOYS ที่คิชิคุงได้แสดงนำครั้งแรกก็ไปทัวร์ทั่วประเทศกัน ตอนนั้นก็ซ้อมในห้องของโรงแรมกันสองคนเหมือนกันครับ

──ตามที่จอห์นนี่ซังเคยพูดไว้ว่า “เพราะน่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแน่นอน” เลยนะ มีด้านของคิชิคุงที่ทุกคนไม่รู้แต่มีแค่จินกูจิคุงเท่านั้นที่รู้บ้างไหม

💙 ไม่มีมั้งครับ คิชิคุงเนี่ยผมว่าเป็นพวกที่ปล่อยทุกอย่างที่มีออกมา ไม่ใช่แค่กับผมแต่กับแฟนๆ ด้วย คือเป็นอย่างที่เห็นเลยครับ ถึงจะเคยถูกบอกว่าลึกลับอยู่บ่อยก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนมีปริศนาอะไร น่าจะแค่งี่เง่าเกินจนเดาไม่ถูกว่าจะทำอะไรต่อไปเท่านั้นเอง

──ฮ่าๆๆ

💙 จริงนะครับ ถึงจะงี่เง่าก็เถอะแต่นิสัยตรงไปตรงมาแบบนั้นก็ช่วยผมเอาไว้หลายครั้งแล้วครับ ถ้าปรึกษาเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงี่เง่าแค่ไหนก็จะตอบอะไรสักอย่างกลับมาแน่นอนครับ ไม่มีทางพูดเลยว่า “ไม่ค่อยเข้าใจแฮะ” แบบว่า “ต้องทำเท่านั้น! พยายามเข้าละ เพราะฉันเองก็จะพยายามเหมือนกัน!” แต่ก็มีที่แบบ ไม่สิ ไม่เอาด้านจิตใจแบบนั้นแต่ขอคำตอบแบบเป็นรูปธรรมน่ะอยู่บ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้น คำตอบของคิชิคุงก็เหมือนดังก้องอยู่ ในตอนนั้นที่เขาพูดแบบนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่เขารับรู้เพราะมองเห็นผมในส่วนนั้นก็เป็นได้ เขาคิดถึงสมาชิกทุกคนมากกว่าที่คิดน่ะ


  ทุกคนคอยสนับสนุนอยู่ ดังนั้นจึงมีพวกผมในตอนนี้  


──ช่วยบอกถึงความฝันและเป้าหมายของวงหน่อย

💙 เรื่องที่อยากทำและต้องทำในฐานะวงมีเยอะเกินเลยครับ พวกรุ่นพี่ได้สร้างเส้นทางมากมายอย่างวาไรตี้ รายงานข่าว การแสดง และอื่นๆ ให้ และก็สืบต่อมาถึงพวกผม พวกผมไม่ได้ต้องการแค่พึ่งพาในตรงส่วนนั้นและส่งต่อบุญคุณเท่านั้น แต่พวกผมเองก็ยังอยากจะสร้างเส้นทางใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย ซึ่งนั่นก็เพื่อรุ่นน้อง และเหนือสิ่งอื่นใดคือตัวพวกผมเองก็อยากเห็นภาพที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็น ดังนั้น ในบางครั้งจึงต้องไปยังเส้นทางที่ยังไม่มีใครไป และคิดว่าผลลัพท์คือการได้เป็นศิลปินที่ทำกิจกรรมในระดับโลก และต้องทำด้วย

── “Uketsuke no Jo” ละครที่ได้เป็นนักแสดงนำเรื่องแรกก็จะเริ่มฉายตั้งแต่เดือนเมษายนด้วย ช่วยบอกถึงความฝันและเป้าหมายส่วนตัวหน่อย

💙 ได้คิดว่าการแสดงเนี่ยมันสนุกขึ้นมาอีกครั้งครับ แน่นอนว่ายังต้องฝึกซ้อมอยู่นะครับ ไม่ใช่แค่ทักษะการแสดงเท่านั้นแต่อยากจะขัดเกลาในด้านเพลงและการเต้นต่อไปด้วยครับ และอยากศึกษาในด้านการทำคอนเสิร์ตให้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะคอนเสิร์ตเนี่ยเป็นสถานที่ที่พวกผมจะได้แสดงความขอบคุณโดยตรงให้แก่แฟนๆ เพียงหนึ่งเดียว และเป็นสถานที่ซี่งจะสนุกไปด้วยกันได้ ไม่มีทางวางมือแน่ครับ การทำโปรดักชั่นเนี่ยผมเพิ่งจะเริ่มทำเลยมีแต่เรื่องที่ไม่รู้ แต่ผมก็อยากจะทำคอนเสิร์ตที่สุดยอดเท่าที่ทำได้ในตอนนี้ทุกปี และพัฒนาขึ้นทุกปีครับ

──จินกูจิคุงเนี่ยทำให้คำพูดที่ว่า “อยากเดบิวต์” เมื่อสมัย Jr. เป็นจริงขึ้นมาได้แล้วนะ นอกนั้นความฝันที่บอกว่า “อยากมีรายการหลัก” ก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วด้วย โดมทัวร์ที่เคยตั้งเป็นหนึ่งในเป้าหมายเมื่อตอนเดบิวต์ก็กำลังจะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ตอนนี้รู้สึกว่าเป้าหมายที่เคยพูดไว้ก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ

💙 ทั้งหมดต้องขอบคุณแฟนๆ ทุกคนเลยครับ เพราะทุกคนคิดอยากให้(พวกผม)เดบิวต์(พวกผม)จึงได้เดบิวต์ ส่วนเรื่องรายการหลักนั้นเพราะมีเสียงบอกมาว่าทุกคนอยากดูกันก็เลยเป็นจริงขึ้นมาครับ เพราะทุกคนคอยสนับสนุนอยู่ถึงมีพวกผมในตอนนี้ จากนี้ไปก็จะไม่ลืมขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุน และอยากจะสร้างผลงาน รายการโทรทัศน์ คอนเสิร์ตที่ทำให้คนสนุกสนานเพิ่มขึ้นแม้เพียงสักคนหนึ่งครับ แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ แม้ตัวเลขจะสำคัญ แต่สิ่งที่พวกผมควรจะเผชิญหน้านั้นไม่ใช่ใครสักคนที่มองไม่เห็น แต่เป็นคุณที่อยู่ข้างหน้า จะไม่ลืมว่าอยากให้คุณที่อยู่ตรงนั้นยิ้มและจากนี้ไปก็อยากขยายโลกของ King & Prince ให้กว้างใหญ่มากไปกว่านี้ครับ



สัมภาษณ์・เรียบเรียง / Mizuno Mitsuhiro


Post a Comment

0 Comments