[TRANS] Takahashi Kaito 10000 words Long Interview (Myojo April 2022)

 

     สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ซีรีย์แก้บนครั้งที่ 2 ของเรา กับการแปลบทสัมภาษณ์ 10000 อักษรของสมาชิก King & Prince นะคะ สำหรับในครั้งนี้จะเป็นของไคโตะคุง น้องเล็กสุดของวงและเป็นเมนเราด้วยค่ะ 555 แต่ถึงจะบอกว่าเมน เอาจริงเราชอบทุกคนในวงพอๆ กันเลยนะคะ และเพื่อเป็นที่ระลึกซิงเกิล We are young / Life goes on ที่วางแผงวันนี้ด้วย เราเลยเลือกที่จะอัพแปลของเดือนนี้ในวันนี้ค่ะ


 สำหรับรูปภาพที่ลงในบล็อก เราใช้เป็นรูปเซ็ตซิงเกิล We are young / Life goes on ซิงเกิลล่าสุดของคิงปุริ ไม่ใช่รูปจากนิตยสารนะคะ แจ้งไว้ตรงนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ และในส่วนของบทสัมภาษณ์ก็มาจากเว็บไซต์ของทางเมียวโจที่ลงบทสัมภาษณ์นี้ให้อ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และขอเคลมเหมือนเดิมเช่นเคยว่าเราแปลแบบไม่ได้เป๊ะมาก แปลเพื่อฝึกด้วยแพชชั่นส่วนตัว เอาตามความเข้าใจและพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกคนไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ


*ห้ามนำบทแปลในบล็อกนี้ไปโพสต์ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต*


 10000 words Long Interview 


 สมัยผมเป็นJr. 

 ฉบับ King & Prince 👑 

 ครั้งที่ 2 


 ”พยายามเข้า พยายามเข้า” 
 แสงจากแท่งไฟสีเหลืองคอยสนับสนุนผมอยู่ 

 💛 髙橋海人 💛 

ทาคาฮาชิ ไคโตะ

เกิดวันที่ 3 เมษายน 1999 บ้านเกิดคานางาวะ เลือดกรุ๊ป A ความสูง 174 ซม.
เข้าจอนห์นี่ส์วันที่ 24 กรกฎาคม 2013
CD เดบิวต์ในฐานะ King & Prince เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2018


 ทาคาฮาชิ ไคโตะ โดดเด่นด้วยความสามารถด้านการเต้น และกระโจนขึ้นมาเป็นแถวหน้าของ Jr. ในระยะเวลาไม่นาน
สำหรับเขาที่ดูเหมือนจะเดินหน้ามาเรื่อยๆ ในเส้นทางที่สั้นที่สุดมุ่งสู่การเดบิวต์นั้น
แท้ที่จริงแล้วต้องผ่านวันเวลาอันเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้
แสงแห่งความมุ่งมั่นที่เขาค้นพบในระหว่างที่ทุกข์ใจ
และสิ่งนั้น ก็คือแฟนๆ ที่เป็นแสงส่องไปยังเขา



 อยากให้ไคโตะได้ลองท้าทาย 


── “King & Princeru” รายการหลักรายการแรกได้เสียงตอบรับดีนะ

💛 ขอบคุณครับ ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้ โอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับสมาชิกทุกคนมีไม่เยอะขนาดนั้น แค่ในรายการเพลงเท่านั้นน่ะครับ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเป็นโอกาสที่วิเศษมาก แน่นอนว่าผมอยากให้ผู้ชมได้สนุกด้วย และสำหรับพวกเราแล้วก็สนุกที่ได้รู้เรื่องของสมาชิกลึกขึ้นด้วยครับ เพียงแต่ผมไม่ถนัดด้านการพูด เลยจะกลัวอยู่ตลอดน่ะครับ (หัวเราะ) ทุกครั้งเลยพยายามข่มความกลัวเอาไว้จะได้เติบโตขึ้นครับ เพราะมีทุกคนอยู่ด้วยต้องข้ามผ่านไปได้แน่นอน

──เอาละ มีเรื่องมากมายอยากถามตั้งแต่เรื่องในอดีตเลย ถ้าพูดถึงไคโตะคุงแล้วก็มีภาพของการเต้นที่เด่นชัดนะ

💛 ผมเริ่มตั้งแต่อายุ 6 ขวบน่ะครับ พูดตามตรงแล้วผมไม่มีความทรงจำที่แน่ชัดตอนเริ่มเต้นเลยครับ พ่อผมชอบการเต้นเลยคิดว่าน่าจะได้อิทธิพลมาจากตรงนั้น แต่พอมาคุยกับพ่อระยะหลังๆ นี่เขาก็บอกว่า “ไคโตะพูดออกมาเองนะว่าอยากเต้นน่ะ” แล้วก็นึกออกในระหว่างที่คุยกันอยู่ว่าพี่สาวที่อายุมากกว่า 2 ปีเขาเต้น “โยซะโค่ย” น่ะครับ สมัยเด็กผมไปดูซ้อมอันนั้นบ่อยๆ ก็เลยโดนตกแล้วผมก็ไปเต้นด้วย เลยพูดออกมาด้วยตัวเองว่า “อยากเต้น!” น่ะครับ

──ปริมาณการซ้อมเต้นก็สุดยอดเลยสิเนี่ย?

💛 อังคารกับพฤหัสมีเรียน เสาร์อาทิตย์จะเรียนไม่ก็ประกวด ก่อนการประกวดก็จะมีเรียนวันอื่นๆ ด้วย เคยมีวันที่ไม่มีเรียนแล้วกลับบ้านมาซ้อมทันทีหลังโรงเรียนเลิกด้วยครับ ตอนสมัยป.3 เคยตั้งทีมเต้นแล้วลงประกวดได้ที่ 3 พอลงครั้งที่ 2 ก็ชนะเลิศครับ จากนั้นก็มีชนะการประกวดที่ลงร่วมกับผู้ใหญ่ แล้วก็ชนะการแข่งทั่วประเทศ ประมาณนั้นครับ

──ยอดไปเลยนะเนี่ย

💛 แต่ว่า ผมไม่ได้มีพรสวรรค์พิเศษอะไร แค่ชอบการเต้นมากที่สุดเท่านั้นเองครับ แต่ก็มีส่วนที่รู้สึกว่าการทำให้พ่อแม่ชม ได้รางวัลแล้วทำให้เขาดีใจ ได้รับการยอมรับในสิ่งที่พยายามเนี่ยมันมีค่าพอที่จะทำครับ

──แล้วความฝันในตอนนั้นคืออะไร?

💛 อยากเป็นครูสอนเต้นน่ะครับ ความรู้สึกว่าตัวเองอยากขึ้นมายืนอยู่บนเวทีเองมีน้อยมาก

──ไม่ใช่แค่การเต้น เห็นว่าเคยเล่นฟุตบอลด้วยนี่นา?

💛 ตั้งแต่ช่วงป.1 ประมาณครึ่งปีน่ะครับ ในระหว่างการซ้อม พอบอลลอยมาก็กลัวจนหนีไปครับ (หัวเราะ) ผมน่าจะพูดละมั้งว่า “อยากลองเล่นดู” น่ะครับ พ่อแม่น่ะถ้าพูดว่าสนใจอะไรแม้แต่นิดเดียวก็จะส่งเสริมอย่างเต็มที่ และช่วยให้ได้มีประสบการณ์ที่หลากหลายน่ะครับ แต่ผมไม่เหมาะกับฟุตบอลเอาซะเลย

──พอเห็นการเต้นแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นคนมีทักษะด้านกีฬาดี แต่ไม่ถนัดฟุตบอลสินะ

💛 ผมถนัดการจัดระเบียบร่างกายเหมือนการเต้นก็จริง แต่การแข่งอะไรที่ต้องใช้ของที่ห่างจากร่างกายออกไปอย่างลูกบอลนี่ไม่ไหวครับ แต่ก็รู้ว่าตัวเองได้ท้าทายกับมันแล้ว ผมว่าผมได้อิทธิพลจากคำพูดที่พ่อพูดกับผมมาเยอะเลยครับ ที่ว่า “พ่อน่ะได้อยู่ในครอบครัวที่ห้อมล้อมไปด้วยความรักอยู่ทุกวัน มีความสุขมาก แต่เสียใจที่ชีวิตไม่มีการผจญภัยเลยเท่านั้น ดังนั้นพ่อเลยอยากให้ไคโตะได้ลองท้าทายกับอะไรหลายๆ อย่าง” เลยพูดกับผมเรื่องการท้าทายมาตั้งแต่ยังเล็กจริงๆ สำหรับผมแล้วการเข้าจอห์นนี่ส์เองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ


 “ไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า! พวกเราอยู่ด้วยไม่เป็นไรแน่!” 


──ก่อนเข้าจอห์นนี่ส์ เคยได้เข้าร่วม SMAP โดมทัวร์ในฐานะแบ็คแดนเซอร์ด้วยนี่นะ

💛 ใช่ครับ เพราะมีประสบการณ์นั้นทำให้แม่มาถามผมว่า “ลองเข้าจอห์นนี่ส์ดูไหม?” เรื่องนี้ผมเองก็ไปคุยกับพ่อแม่ช่วงหลังๆ แล้วความทรงจำที่คลุมเครือถึงกลับมาแจ่มชัด เหมือนพอถามว่า “ได้เป็นแบ็คแดนเซอร์ของ SMAP ซังเป็นยังไงบ้าง? แล้วผมตอบไปว่า “สนุกสุดๆ เลย!” น่ะครับ ดังนั้น ด้วยนโยบายว่าจะให้ผมได้ลองท้าทายกับทุกสิ่งที่ผมสนใจเหมือนอย่างฟุตบอล เลยให้ผมเขียนใบสมัครออดิชั่น พ่อแม่เอาใบมาให้ผมแต่ไม่ได้คิดเลยว่าใบนั้นเป็นใบสมัครออดิชั่น พอมีการติดต่อครั้งแรกมาว่าให้มาที่สถานที่จัดงาน(ออดิชั่น)วันไหนๆ ถึงได้ปฏิเสธที่จะไปแล้วบอกว่า “ผมอยากเป็นครูสอนเต้น เพราะงั้นจอห์นนี่ส์อะไรไม่เอาหรอก!” ทั้งน้ำตา ทั้งที่ตัวผมเป็นคนเขียนใบสมัครเองแท้ๆ ดังนั้นพ่อแม่เลยบอกว่า “จะการเต้นหรือฟุตบอลก็ได้ลองท้าทายก่อนถึงรู้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะใช่ไหมล่ะ กับจอห์นนี่ส์เองก็ลองดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจดีไหม?” ผมเลยโต้กลับไปไม่ได้ (หัวเราะ)

──แล้วออดิชั่นเป็นยังไงบ้าง?

💛 ทุกคนพยายามแสดงความสามารถเต็มที่ แต่ผมนั่งกอดเข่าทำเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวแล้วก็ทำตัวเหมือนกรรมการเอาเองแบบ “อ๊ะ คนนี้น่าจะได้นะ” ครับ สุดท้ายในจังหวะที่ทุกคนจะเต้นกัน จู่ๆ ก็โดนจับไปยืนตรงกลาง ผมไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากผ่านแต่เรื่องเต้นนั้นผมจริงจังมาตลอดก็เลยมีความภูมิใจ และพยายามเต้นอย่างเต็มที่ว่าต้องเปล่งประกายให้มากกว่าคนที่ได้ยืนตรงกลาง หลังการออดิชั่น ไม่รู้ทำไมจอห์นนี่ซังถึงพาไปที่ร้านราเม็งแล้วเลี้ยงมิโสะราเม็งครับ พอคุยกับคนที่ผ่านออดิชั่นด้วยกันถึงเรื่องนั้นแล้ว เขาก็ดีใจด้วยแล้วบอกว่า “การได้กินราเม็งก็หมายความว่าผ่านแล้วไงล่ะ!” แต่ผมไม่ได้อยากเข้า ก็เลยตะโกนกลับไปในใจว่า “โกหกน่า! รู้งี้ไม่กินราเม็งซะก็ดี!” น่ะครับ

──จากนั้นการทำกิจกรรมของ Jr. ก็เริ่มต้นขึ้น

💛 ผมได้ร้องเพลงโซโล่ใน “Shounen Club” และได้แสดงใน “DREAM BOYS JET” ทันที แต่ก็คิดตลอดว่าอยากออก อยากออก แล้วก็ถามพ่อแม่บ่อยๆ ด้วยว่า “เมื่อไหร่ถึงจะออกได้สักที?” ครับ แล้วในวันสุดท้ายของ “DREAM BOYS JET” ล่ะมั้ง ผมก็ได้รับจดหมายจากแฟนๆ ครับ ในจดหมายเขียนว่า “ที่พยายามได้ทุกวันต้องขอบคุณไคโตะคุงเลยนะคะ” เลยคิดว่า “ผมเองก็ทำให้ใครสักคนมีความสุขได้ เป็นแรงจูงใจให้พยายามได้” เลยคิดว่าจะลองทำต่ออีกสักหน่อย

──นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทำต่อนี่เอง

💛 ครับ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ยังเลอยู่มากมาย โรงเรียนสอนเต้นที่ผมเคยสังกัดอยู่ทุกคนพูดกันแบบเป็นกันเองน่ะครับ แล้วผมก็ไปคุยกับรุ่นพี่ Jr. ด้วยความรู้สึกแบบนั้นด้วย พอมาคิดดูตอนนี้แล้วน่ากลัวเนอะครับ (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นพวกเขาที่เป็น SixTONES ในตอนนี้ โดยเฉพาะ (ทานากะ) จูริคุงที่เอ็นดูผมมากๆ บอกว่า “นี่นายน่าสนใจดีนี่หว่า” น่ะครับ

──หลังจากเข้าสังกัดได้ครึ่งปี ก็ได้เจอกับฮิราโนะ (โช) คุง กับนางาเสะ (เร็น) คุงใน “JOHNNYS' 2020 WORLD” สินะ

💛 จอห์นนี่ซังบอกว่า “เดี๋ยวสมาชิกตัวท็อปของคันไซจะมา ไปเต้นด้วยกันนะ” แล้วผมก็ได้เต้นกับทั้งสองคนที่เท่มากๆ ทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็คิดด้วยครับว่า “อะไรเนี่ยคนพวกนี้ ไอดอลสุดๆ ไปเลยนี่หว่า!” แบบว่าสุดยอดมากๆ เลยน่ะครับ เปล่งประกายสุดๆ พอจบการแสดง จอห์นนี่ซังก็ถามว่า “ได้แสดงกับสองคนนั้นแล้วเป็นไงบ้าง?” ผมเลยตอบไปว่า “สนุกครับ!” เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ แต่ทั้งสองคนก็ใจดีสุดๆ ด้วยเหมือนกัน ทั้งที่พบกันครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับเข้าหาเหมือนเป็นเพื่อนกัน จากนั้นเราทั้งสามคนก็ได้แสดงเป็นน้องชายใน “DREAM BOYS” ครั้งต่อไปร่วมกัน ดังนั้นคำตอบว่า “สนุกครับ!” ในวันนั้นจึงเป็นเหมือนจุดแบ่งในชีวิตผมเลย

──สำหรับไคโตะคุงแล้ว ตัวตนของทั้งสองคนยิ่งใหญ่มากเลยนะเนี่ย

💛 ใหญ่เกินเลยล่ะครับ ผมเพิ่งเข้ามา ถ้ามองจากพวก Jr. ก็คงจะเป็นตัวตนประมาณว่า “อะไรเนี่ยหมอนี่” แล้วโดนว่าอะไรหลายๆ อย่างใส่ครับ แฟนๆ ของพวก Jr. อื่นๆ ก็เคยพูดอะไรหลายๆ อย่างใส่เพราะจู่ๆ ผมเข้ามาแล้วทำไมถึงได้ตำแหน่งดีๆ ไปเลย ผมเป็นคนใจอ่อนมากๆ มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วก็เลยได้แต่กลัวน่ะครับ แล้วในเวลานั้น โชกับเร็นก็คอยสนับสนุนผมอยู่ว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า! พวกเราอยู่ด้วยไม่เป็นไรแน่!” ซึ่งช่วยผมเอาไว้ได้จริงๆ และดีใจช่วยสร้างที่อยู่ที่รู้สึกว่าถึงอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไรขึ้นมาให้ด้วย

──ตอนนั้นบอกว่านางาเสะคุงเป็นแฝดพี่ ส่วนโชคุงเป็นพี่ชายนี่นะ

💛 ทะเลาะกันบ่อยด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จริงนะครับ แต่เร็นเป็นคนที่คุยด้วยได้ทุกเรื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วครับ กับโชนี่สมัยเพิ่งขึ้นม.ปลายมั้งนะ เราเดินไปด้วยกันสองคนแล้วจู่ๆ คุณลุงที่เมาอยู่ก็เข้ามาด่าประมาณว่า “ไอ้เด็กเวร!” แล้วโชก็พูดว่า “ผมน่ะไม่เป็นไร แต่ขอโทษเด็กคนนี้เดี๋ยวนี้นะ” ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจว่า “จะยอมรับคนคนนี้ในฐานะพี่ชาย” น่ะครับ

──ดีแล้วที่ได้เจอกับสองคนนี้นะ

💛 ครับ แต่ก็มีเรื่องที่เป็นเหมือนข้อบาดหมางเกิดขึ้นพร้อมกันด้วยครับ เพราะทั้งสองคนสุดยอดมากเกินไป รู้สึกได้ว่าเปล่งประกายด้วย แฟนก็เยอะด้วย และประวัติที่คู่กันก็นานมากมาก่อนแล้ว ผมชอบทั้งสองคนมากและสนุกมากๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนก็สนิทสนมกับผมมาก แต่ถึงจะอยู่กันสามคนก็ยังแอบมีความรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยวอยู่เล็กๆ เสมอเลยครับ


 แท่งไฟสีเหลืองแค่ 3 อัน 


──ความประทับใจตอนได้เจอกับจินกูจิ (ยูตะ) คุง และคิชิ (ยูตะ) คุงล่ะ?

💛 จินกูจิเป็นคนดีมากๆ มาตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกันแล้วครับ แล้วคนที่เข้ามาชวนผมคุยเป็นคนแรกสุดสมัยเป็น Jr. ก็คือจินนี่แหละ จินผมทองใส่แจ็กเก็ตยีนส์ กางเกงลายพรางเข้ามาทักประมาณว่า “ไง! เข้าใหม่เหรอ!? ยินดีที่ได้รู้จัก!” แล้วจู่ๆ ก็มาจับมือเขย่าพั่บๆๆ เหมือนแร็ปเปอร์เลย เป็นจินกูจิสมัยที่โดนเรียกว่ากูจิกะล่อน (chara-guchi) แต่เข้ามาชวนผมคุยตลอดเลยครับ นั่นคือความประทับใจตอนได้พบกัน ส่วนคิชิคุงตอนแรกเป็นคนที่ผมหลงใหลใฝ่ฝันมากครับ ทั้งเปล่งประกายแล้วก็เท่มากๆ เลย ในระหว่างที่ทุกคนพักกันอยู่ก็ซ้อมเต้นอยู่คนเดียว บรรยากาศว่า “ฉันต้องเปล่งประกายให้ได้!” มันเท่มากเลยครับ ผมหลงใหลกับพลังในลักษณะนั้นน่ะครับ

──Mr.King vs Mr.Prince ตั้งขึ้นในปี 2015 แล้วก็ทำกิจกรรมกับสมาชิกเหล่านั้นร่วมกันมา

💛 โชกับเร็นที่เปล่งประกาย อดีตสองท็อปในคันไซ Jr. ส่วน Mr.Prince ก็เป็นเหล่าคนที่เปล่งประกายเป็นท็อปของโตเกียว Jr. พอถูกขนาบด้วยท็อปของคันโตและคันไซแล้วก็รู้สึกว่าแล้วผมเป็นใครกันเนี่ย เทียบกันในด้านภูมิศาสตร์แล้วเหมือนอยู่ชิสึโอกะเลยมั้ง เพราะอยู่กับโชและเร็นมาก เลยไม่คิดว่าตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ โตเกียว Jr. และก็ไม่คิดว่าเป็นคันไซ Jr. ด้วย ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ผมอยู่กับพวกเขา แต่กลับมีความรู้สึกกังวลใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นอะไรเลยสักอย่างอยู่ครับ เหมือนจะกลัวอยู่ทุกวันเลยด้วยครับ

──อย่างนั้นหรอกหรือเนี่ย

💛 พ่อแม่ก็คอยให้กำลังใจตลอดว่า พยายามเข้า พยายามเข้า แล้วก็มาดูคอนเสิร์ตบ่อยๆ ด้วย แต่ผมไม่ค่อยอยากให้มาเท่าไหร่ อย่างตอนมีไลฟ์ของ Mr.King เคยมีช่วงหนึ่งที่มีแท่งไฟสีเหลืองของผมอยู่แค่ 3 อันในบรรดาแท่งไฟสีฟ้ากับแดงของโชกับเร็นที่กระพริบอยู่เต็มพรืดในด้านหนึ่งของสถานที่จัดงานด้วยครับ ผมแทบจะถอดใจแล้วแหละครับ แต่สามคนนั้นถึงแม้จะน้อย แต่ก็พยายามโบกแท่งไฟอย่างเต็มที่เพื่อให้สีเหลืองโดดเด่นครับ พอเห็นภาพนั้นแล้วผมแทบจะร้องไห้ ไม่ได้มีแค่โช เร็น หรือพ่อแม่ แต่ยังมีแฟนที่คอยเชียร์ว่า “พยายามเข้า พยายามเข้า” อยู่ ผมถึงทำต่อมาได้จนถึงวันนี้น่ะครับ

──ในตอนนั้นคิดยังไงกับเรื่องการเดบิวต์บ้าง?

💛 คิดว่ายังไงก็อยากเดบิวต์ให้ได้ครับ ว่าตราบใดที่ยังเป็นจอห์นนี่ส์ก็อยากจะเดบิวต์ให้ได้ อยากให้สังคมยอมรับ แล้วก็คิดด้วยว่าพอเข้ามาแล้วถ้าไม่เดบิวต์ก็จะจบลงไม่ได้ด้วยครับ


 ทำไมผมถึงอยู่ในวงนี้ล่ะ? 


──แต่ก็ดูไปไม่ถึงการเดบิวต์สักที

💛 ผมได้แสดงพวก “SUMMER STATION” ในตำแหน่งที่เหมือนแบกรับ Jr. ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยังเดบิวต์ไม่ได้ก็ทำให้สิ้นหวังและหลังชนฝา แล้วยังมีรุ่นพี่อีกมากที่ยังไม่ได้เดบิวต์ เลยคิดว่าพวกผมเองคงจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เดบิวต์หรือเปล่า

──เรื่องนั้นเลยนำไปสู่การพูดคุยโดยตรงกับจอห์นนี่ซังงั้นหรือ?

💛 ใช่แล้วครับ คิดว่า “ถ้าจะมัวกังวลแล้วก้มหน้าเงียบอยู่แบบนี้สู้ไปคุยโดยตรงเลยดีกว่า” แน่นอนว่าตัวตั้งตัวตีคือโช ตอนแรกมีการคุยให้ความเห็นของสมาชิกตรงกันก่อนด้วยครับ

──ไคโตะคุงคิดว่าควรไปคุยโดยตรงหรือเปล่า? คิดว่ายังเร็วไปหรือเปล่า?

💛 เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าถ้าผมมีเส้นทางที่เป็นตัวเลือกได้ แม้จะแค่นิดเดียวแต่ก็จะมุ่งหน้าไปทางที่เปล่งประกาย เลยเห็นด้วยกับการไปคุยโดยตรงตั้งแต่แรกครับ

──นางาเสะคุงเล่าให้ฟังแล้วว่าถ้าจอห์นนี่ซังปฏิเสธ ก็เตรียมใจที่จะลาออกกันทุกคนด้วยใช่ไหม?

💛 แน่นอนครับ เพราะคำว่าอยากเดบิวต์เนี่ยไม่ได้พูดออกมาแบบเล่นๆ เลยเตรียมใจกันไว้แล้วไปพบครับ

──ถ้าเกิดไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง?

💛 เรื่องนั้นก็คุยกันไว้ก่อนแล้วครับ ผมว่าจะไปเป็นแดนเซอร์ เร็นจะเรียนมหาวิทยาลัยเป็นพนักงานบริษัท โชจะเปิดร้านขายสัตว์เลี้ยง จินพูดว่า “โช ขอฉันไปทำงานร้านนั้นด้วยนะ” ด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างจริงจัง คิชิคุงก็อื~ม แบบลำบากใจแล้วบอกว่า “คงทำงานพิเศษอะไรสักอย่างแล้วมุ่งให้ได้เป็นพนักงานประจำมั้ง”

──ผลจากการพูดคุยโดยตรงคือได้เดบิวต์ รู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้น?

💛 ดีใจครับ พูดได้แค่ว่าดีใจเลย แล้วในแวบต่อมาก็เปลี่ยนเป็นต้องพยายามครับ

──หลังจากเดบิวต์ ไคโตะคุงเคยเล่าในสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า “ร้องไห้กับครอบครัวบ่อยๆ” เลยนี่นะ

💛 เพราะกังวลน่ะครับ ตัวเองได้เดบิวต์ในลักษณะที่พึ่งพากำลังของสมาชิกคนอื่นและยังมีความสามารถในฐานะไอดอลไม่พอ หลังจากนี้จะมีอนาคตแบบไหนรออยู่กัน จะเกิดอะไรขึ้นกัน แบบถูกกดดันด้วยความกังวล

──แล้วผ่อนคลายความกังวลยังไงล่ะ?

💛 ผ่อนคลายไม่ลงครับ (หัวเราะ) ก่อนเดบิวต์ ผมกังวลมากๆ ที่ตัวเองอยู่ท่ามกลางสมาชิกเหล่านี้ เคยพูดกับจอห์นนี่ซังด้วยว่า “ผมกลัวครับ” ถามไปด้วยครับว่า “ทำไมผมถึงอยู่ในวงนี้ล่ะ?” จอห์นนี่ซังไม่ยอมบอกคำตอบผม และบอกว่า “สักวันจะมีเวลาที่ได้รู้คำตอบนั้นด้วยตัวเอง” แล้วจอห์นนี่ซังก็จากไปโดยไม่ได้บอกคำตอบผม ผมเลยตัดสินใจว่าไม่ว่าจะกังวลขนาดไหนก็จะเดิมพันทั้งชีวิตในการค้นหาเหตุผลที่ผมได้มาเป็นสมาชิกของ King & Prince ครับ

──หลังเดบิวต์ ก็ได้เห็นภาพไคโตะคุงที่ลองท้าทายกับการตีพิมพ์การ์ตูนต่อเนื่อง และพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะมีสิ่งที่เป็นอาวุธเฉพาะตัวในฐานะไอดอลนะ

💛 ตอนนี้เองก็ยังเป็นแบบนั้นครับ แต่ผมก็เอาแต่พึ่งพาสมาชิกอยู่ตลอดเวลาเลย แม้ในตอนนี้ผมก็ยังคิดว่าอยากจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคน อยากอยู่ในระดับเดียวกันแม้เพียงสักเล็กน้อย เพื่อการนั้นจึงต้องมีอะไรสักอย่างที่ทัดเทียมกับทุกคนให้ได้ครับ เพราะผมเคารพในตัวสมาชิกทุกคน การที่อยากให้ทุกคนยอมรับนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยให้พยายามกับอะไรสักอย่างครับ เพราะผมมีนิสัยไม่ท้อถอยกับการท้าทายต่อสิ่งใหม่ๆ ต้องขอบคุณพ่อแม่ที่คอยให้ผมได้ท้าทายกับทุกๆ สิ่งด้วยครับ

──หลังจากเริ่มเต้นมาก็มีความรู้สึกที่อยากให้ใครสักคนยอมรับมาโดยตลอดเลยนะนี่

💛 ใช่แล้วครับ ผมไม่เคยโดนจอห์นนี่ซังชมเลยจริงๆ เพราะงั้นเลยเจ็บใจและคิดตลอดว่าต้องพยายาม เลยคิดว่าขอแค่สักอย่าง อยากได้รับการยอมรับแค่สักครั้งก็พอ ตอน “JOHNNYS' King & Prince IsLAND” ในปีที่เดบิวต์ผมเลยขอร้องให้ผมได้เป็นคนรับผิดชอบเรื่องการเต้นและดนตรีในพาร์ทเต้นของผมน่ะครับ และได้คำชมจากจอห์นนี่ซังเป็นครั้งแรกว่า “พาร์ทเต้นของยูสุดยอดมากนะ!” ผมดีใจจนร้องไห้เลยครับ แบบว่า “ไชโย! ในที่สุด!” จอห์นนี่ซังเกลียดน้ำตา ในจังหวะนั้นผมเลยกลั้นเอาไว้แล้วกลับบ้านมาร้องไห้ครับ แต่หลังจาก(จอห์นนี่ซัง)เสียแล้ว หลายๆ คนก็มาบอกกับผมว่า “เขาชมไคโตะมาตลอดตั้งแต่เมื่อก่อนเลยนะ” ดูเหมือนว่าจอห์นนี่ซังจะรู้ว่าควรจะไม่ชมผมแล้วผมจะพยายามมากกว่าชมผมก็เป็นได้ครับ

──จอห์นนี่ซังมักจะบอกกับ King & Prince บ่อยๆ ว่า “จงคิดด้วยตัวพวกเธอเอง” สินะ?

💛 ครับ พูดตลอดตั้งแต่สมัย Jr. ว่า “จงอย่าพึ่งพาผู้ใหญ่ ให้พยายามสร้างสิ่งที่คิดด้วยตัวพวกเธอเองแล้วว่าดี” ครับ ตอนนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นและทำเรื่องที่อยู่ในขอบเขตที่พวกเราทำได้ครับ อย่างเช่นตอนที่เลือกเพลงเดบิวต์เองก็ฟังความเห็นของพวกผมท่ามกลางตัวเลือกกว่า 200 เพลงด้วย ซึ่งใน 200 เพลง ประมาณเพลงที่ 70 คือ “Cinderella Girl” สมาชิกที่ได้ฟังต่างพูดเป็นเพียงเดียวกันว่า “นี่แหละ!” ขนลุกเลยครับ ทุกคนเลยไปบอกจอห์นนี่ซังว่าจะเอาเพลง “Cinderella Girl”

──แล้วไคโตะคุงรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าได้เดบิวต์แล้วเมื่อไหร่กัน?

💛 ผมไปฝึกร้องเพลงที่คาราโอเกะคนเดียวบ่อยๆ ตั้งแต่สมัย Jr. แล้วครับ ร้องเพลงของพวกรุ่นพี่ แล้วก็คิดว่าสักวันหนึ่งก็อยากจะร้องเพลงของพวกเราเองบ้างจัง หลังจากเดบิวต์ก็มีเพลง “Cinderella Girl” ใส่เข้ามา เลยรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่า “เดบิวต์แล้วนะ” น่ะครับ ผมหอบไปร้องทุกพาร์ทนอกเหนือจากของตัวเองหมดคนเดียวเลยครับ (หัวเราะ)

──พ่อแม่มาคอนเสิร์ตที่โยโกฮาม่า อารีน่าครั้งแรกตอนที่จะเดบิวต์แล้วไหม?

💛 มาทั้งพ่อแม่ทั้งพี่สาวแล้วสนุกสุดๆ เลยครับ แม่เองก็บอกกับผมด้วยว่า “แท่งไฟเพิ่มขึ้นแล้วนะ”

──ตอนนี้เอง ถ้ามีวันหยุดก็จะกลับบ้านบ่อยๆ เหมือนเดิมใช่ไหม?

💛 กลับครับ พอกำหนดแล้วว่าผมจะกลับจะมีอาหารออริจินอลของแม่ทำมาเสิร์ฟให้ ไม่รู้ต้นตอหรอกนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอาหารที่เรียกว่า “บงกู” น่ะครับ เป็นอาหารแบบข้าวหน้าหมูสามชั้นที่เอาหมูสามชั้นเอาไปผัดกับกระเทียมฝาน ใส่โชยุลงไปเหยาะนึงแล้วราดข้าวกิน ผมชอบที่สุดเลยครับ

──ลองค้นดูตะกี้ เหมือนว่าบงกูจะเป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมายว่า “อร่อย” “ช่วงเวลาหนึ่งที่สนุกสนาน” นะ

💛 อย่างนั้นเองสินะครับ! ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว พอชนะการประกวดก็จะทำบงกู พอมีอะไรที่ฉลองกันในครอบครัวก็จะทำบงกูกัน ถือเป็นอาหารที่จะเสิร์ฟในเวลาหนึ่งที่สนุกสนานของครอบครัวเราเลยครับ


 ต้องเป็นสายใยที่ยึดทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน 


──งั้นช่วยฝากข้อความถึงสมาชิกแต่ละคนหน่อย

💛 โชเนี่ยเป็นคนที่ขนาดจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดยังยาก ถ้าไม่มีโชก็คงไม่มีผมในตอนนี้ครับ โดยเฉพาะในตอนที่กำลังทุกข์มากๆ สมัยเป็น Jr. ก็คอยสนับสนุนและคอยส่งเสริมผมมาโดยตลอด เป็นคนที่เหมือนกับพี่ชายแท้ๆ แน่นอนว่ามีส่วนที่รู้สึกว่าโคตรจะงี่เง่าอยู่ด้วย แต่เป็นคนที่เหมือนกับหนังสืออ้างอิงของผมจริงๆ นิสัยเหมือนลูฟี่ ตัวเอกในการ์ตูนเรื่อง “ONE PIECE” เลยครับ

──เต้นเก่งกันทั้งคู่เลยนี่นะ?

💛 ในด้านการเต้นนี่ผมยังคิดว่า “ไม่ยอมแพ้หมอนี่หรอก!” อยู่ครับ แน่นอนว่าโชเองก็คงคิดเหมือนกัน ตอนได้เจอโชนี่เราคุยกันเรื่องการเต้นอยู่บ่อยๆ คุยกันเรื่องว่าเพราะเราทั้งคู่ทุ่มเทกับมันอย่างจริงจังมาตลอด พอมาเต้นด้วยกันในวงที่ดูเป็นไอดอลแบบที่เรียกว่าจอห์นนี่ส์แล้วรู้สึกว่าการเต้นที่พวกเราเคยเต้นมามันเปล่าประโยชน์หรือเปล่าอยู่บ่อยๆ ตอนนี้พอเป็น King & Prince แล้วเลยใส่เพลงที่มีการเต้นหลากหลายทั้งเพลงที่แสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ เพลงแนวไอดอลได้ ช่วงหลังมานี้ผมรักษาคำพูดที่โชเคยพูดไว้ว่า “ไม่ว่าประสบการณ์แบบไหนก็ไม่เปล่าประโยชน์เนอะ” เอาไว้ในใจอย่างดีเลย

──นางาเสะคุง

💛 เร็นเนี่ยเป็นคนบ้าบอแล้วก็งี่เง่า ไม่ซื่อตรง เพราะไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่มีทางยอมแสดงให้ได้เห็นครับ ช่วงนี้มีเรื่องน่าประทับใจด้วยครับ พอจบไลฟ์ครั้งแรกในวันที่ต้องแสดง 2 รอบในหนึ่งวัน ทุกคนจะวางแผนกันว่าจะนอนเพื่อฟื้นฟูพลังกายกันครับ แต่ผมนอนไม่หลับก็เลยเดินเล่นในสถานที่จัดงานอย่างโยโกฮาม่า อารีน่า แล้วก็คิดขึ้นมาว่า “จะว่าไป เร็นหายไปไหนเนี่ย?” แล้วตามหา แล้วก็เจอเร็นอ่านบทละครเช้าอยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ ซ้อมภาษาถิ่นและการออกเสียงอยู่คนเดียวตลอดเลยครับ คนคนนี้น่ะชอบทำตัวเหมือนฉันไม่ได้พยายามหรอกอยู่ตลอด แต่เป็นคนที่พยายามทุ่มเทแบบสุดๆ อยู่เบื้องหลัง เลยทั้งเคารพและชอบครับ

──นางาเสะคุงเล่าให้ฟังเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไคโตะคุงมาร้องไห้กลางดึกบอกว่า ฉันน่ะ ชอบเร็นกับโชนะ! ด้วยนะ

💛 อ๋า~ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะครับ อื-ม จะพูดยังไงดีแบบว่ามันยากอยู่ คือผมคอยมองสองคนนั้นอยู่ใกล้ๆ แล้วก็อยู่ด้วยกัน แล้วก็ต่างฝ่ายต่างก็รักกันมากๆ ต่างฝ่ายเลยต่างถือทิฐิต่อกันหรือเปล่า ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันแต่ก็มีช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ดูประดักประเดิดเล็กน้อย ผมเคยพยายามถามความรู้สึกของแต่ละคนหรือความไม่พอใจเล็กน้องของแต่ละคนด้วยครับ แล้วก็มีช่วงเวลาคิดเอาเองว่าคงเป็นเรื่องที่มีแค่ผมที่เท่านั้นที่ทำได้ จึงตั้งใจว่าต้องเป็นเหมือนสายใยที่ยึดทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันครับ แล้วในจังหวะนั้นน้ำตาที่เป็นเหมือนใจจริงก็เอ่อออกมาแบบไม่คาดคิดที่บ้านของเร็นน่ะครับ ตอนนี้พอเห็นทั้งสองคนที่ดูสนิทสนมกันดีแล้วผมรู้สึกมีความสุขสุดๆ เลยครับ อืม

──งั้น ต่อไปจินกูจิคุง

💛 จินหรือครับ!? เรียกว่าสมบูรณ์แบบในฐานะมนุษย์ได้เลย เคยคุยเล่นกับพวกสตาฟฟ์ของ King & Prince ว่า “อยากแต่งงานกับสมาชิกคนไหน?” แล้วตอบจินกัน 80%-90% เลยครับ แน่นอนว่าผมเองก็จินเหมือนกัน (หัวเราะ) แบบนึกภาพชีวิตแต่งงานออกเลย แบบเข้าใจเลยว่าทำไมถึงเรียกเขาว่า “แฟนหนุ่มแห่งชาติ” มากๆ เพราะเขาคิดถึงสมาชิกในวง สิ่งที่ชอบที่สุดของจินก็คือตอนที่สมาชิกรวมตัวกันให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าว เมื่อได้รับคำถามที่เกี่ยวกับทั้งวงโดยรวมมา เขาจะตอบออกไปตรงๆ ว่า “ผมคิดแบบนี้ครับ” ครับ เพราะเขาคิดถึงสมาชิกและวงอยู่เสมอนี่แหละเลยตอบออกไปได้ตรงนั้นทันที และผมคิดว่าจินเป็นคนที่เข้าใจวง เข้าใจสมาชิกทุกคนมากกว่าใครเลยครับ

──สุดท้ายคิชิคุง

💛 ผมคิดอยู่เสมอครับว่าดีแล้วที่ได้อยู่วงเดียวกับคนคนนี้ ไม่มีใครที่จะมีความสามารถในการเป็นที่รักของคนอื่นได้มากเท่านี้อีกแล้วครับ อย่างเช่น ถ้าร้องเนื้อผิดในคอนเสิร์ต แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะถูกชมเชย แต่ถ้าเป็นคิชิคุงจะกลายเป็น “ตลก!” ครับ คนที่มีนิสัยเป็นที่รักได้ถึงขั้นนั้นเนี่ย ผมรู้จักแค่คิชิคุงคนเดียว แค่อยู่ด้วยก็รู้สึกปลอดภัย เหมือนเครื่องรางเดินได้เลยครับ วันแรกของ “24 jikan TV 44” เมื่อปีก่อน มีช่วงเวลาที่คิชิคุงไปเป็นนักวิ่งผลัดไม้หนึ่งและไม่อยู่ใช่ไหมครับ พวกเราตื่นเต้นประหม่ามาก พอคิชิคุงกลับมาในวันที่ 2 พวกเราก็หัวเราะกันได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ความรู้สึกสบายใจที่มีคิชิคุงอยู่ข้างๆ มันสุดยอดมากครับ ผมมีช่วงเวลาที่ชอบที่สุดตั้งแต่ได้พบกับคิชิคุงด้วย เคยถามนะครับว่า “ทำไมถึงอ่อนโยนใจดีขนาดนี้เนี่ย?” แล้วเขาก็ตอบว่า “ตัวยู (優) ของยูตะ (優太) คือตัวเดียวกับคำว่าใจดี เพราะในชื่อฉันมีความใจดีอยู่ด้วย เลยตั้งใจจะใช้ชีวิตที่ใจดีให้ได้ตามชื่อ” พูดกันตามตรง ช่วงแรกที่ตั้งวงนั้นถ้ามีเวลาที่ผมได้อยู่กันแค่สองคนไม่ว่ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างคิชิคุงกับจินกูจิ ผมจะประหม่าเล็กน้อยครับ แต่พอรู้สึกตัวความรู้สึกนั้นก็หายไป เพราะผมคิดว่าเป็นคนนิสัยดีมากทั้งสองคนเลยครับ


 ถึงเกิดใหม่ก็อยากทำงานไอดอลอีก 


──เป้าหมายของวงต่อจากนี้ไปล่ะ?

💛 จอห์นนี่ซังกับพวกผมมีสัญญากันตอนจะเดบิวต์ว่า “พวกยูต้องไปต่างประเทศให้ได้นะ” ดังนั้นการตั้งเป้าที่จะไปต่างประเทศคือสิ่งที่ต้องทำมากกว่าเป็นความฝันและเป้าหมาย พวกเราต้องพาจอห์นนี่ซังไปต่างประเทศ เพียงแต่ผมไม่คิดว่านั่นคือเป้าหมาย เป้าหมายหนึ่งในหลายๆ เป้าหมายคืออยากไปยืนบนเวทีในโคคุริตสึ (สนามกีฬาแห่งชาติ) อยากจัดโดมทัวร์ ถ้าจะถามว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ King & Prince ก็คือการทำให้คนอื่นมีความสุขเพิ่มขึ้นแม้อย่างน้อยสักคนหนึ่ง การจะทำให้ทั่วโลกมีความสุขนั้น ก่อนอื่นต้องทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ามีความสุขก่อนน่ะครับ ซึ่งตอนนี้สมาชิกทุกคนก็มักจะคุยกันในเรื่องแบบนั้นอยู่ครับ

──ใกล้จะเดบิวต์ครบ 5 ปีแล้ว รู้สึกได้ถึงบรรยากาศดีๆ ของวงเลยนะ

💛 ผมรักสมาชิกมากๆ เมื่อก่อนเคยเสนอด้วยว่า “พวกเรามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเถอะ!” ด้วยครับ แล้วก็โดนปฏิเสธกลับมาโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่!” ครับ แต่ว่า ตอนนี้ที่ใกล้จะเข้าสู่ปีที่ 5 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดแบ่งสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของ King & Prince ในหลายๆ ความหมายครับ พวกเราคุยกันบ่อยๆ เรื่องความสำคัญที่ทุกคนต้องมานั่งคุยกันเพื่อเป้าหมายว่า “จะสูงและสูงยิ่งๆ ขึ้นไป” ด้วยครับ เราทุกคนคุยกันแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยครับ ดังนั้น เมื่อมีสมาชิกพูดออกมาติดๆ กันว่า “ถ้าเราจะคุยกันยาวขนาดนี้ อาศัยอยู่ด้วยกันไปเลยก็น่าจะดีนะ” ถึงผมจะพูดไปว่า “เดี๋ยวๆ ก่อนหน้านี้ตอนฉันพูดไม่ได้พูดกันแบบนั้นสักหน่อยนี่!” แต่ก็ไม่มีใครจำได้เลยครับ (หัวเราะ)

──ฮ่าๆๆ แล้วเป้าหมายแบบส่วนตัวล่ะ? ยังมีวันที่ร้องไห้อยู่อีกหรือเปล่า?

💛 เรื่องนั้นก็ยังมีวันที่เผลอร้องไห้ที่บ้านอยู่นะครับ พอคิดว่าเรื่องแบบไหนที่ผมจะเอามาช่วยผลักกันวงได้กันก็ร้องไห้ตลอดเลยครับ ถึงสมาชิกกับเพื่อนๆ จะบอกว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวโอกาสที่นายจะได้เปล่งประกายก็จะมาถึงเอง” แต่ถึงอย่างนั้น พอคิดอยู่คนเดียวแล้วยังไงผมก็ยังเผลอใจร้อนอยู่ดีว่ายังไม่ได้ฝากชื่อเสียงอะไรไว้เลย

──ที่ได้แสดงละคร “Dragon Sakura” หรือภาพยนตร์ “Black School Rules” ก็ถือว่าได้ฝากชื่อเอาไว้เหลือเฟือแล้วนะ

💛 ฝากเอาไว้แล้วเหรอครับ!? แค่ในที่สุดผมยอมรับตัวเองให้ได้ แบบว่าผมมีความภูมิใจในตัวเองสูงมั้ง ก็เลยคาดหวังกับตัวเองไว้สูงมากน่ะครับ ดังนั้นไม่ว่าผลลัพท์จะออกมาแบบไหน ก็จะเจ็บใจแล้วคิดว่าทำได้มากกว่านั้นอีก มีนิสัยที่ไม่ว่าจะเปล่งประกายขนาดไหนก็ยังไม่พอใจน่ะครับ ดังนั้นผมอาจจะเจ็บใจจนร้องไห้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ แต่ว่า ความรู้สึกด้านลบที่เหมือนปมด้อยพวกนั้นถือเป็นเชื้อเพลงสำหรับผมเลยครับ นิสัยแบบนี้น่าจะติดตัวผมไปตลอดชีวิตครับ ถึงตัวเองจะรำคาญเหมือนกันก็เถอะ (หัวเราะ)

──สุดท้ายนี้ ช่วยฝากข้อความถึงแฟนๆ หน่อย

💛 แฟนๆ ของผมน่าจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมและเดินด้วยกันมาจนถึงวันนี้ครับ แฟนๆ นั้นเข้าใจความรู้สึกของผม สมมติว่าผมมีส่วนที่ดีกว่าสมาชิกคนอื่น นั่นก็คือผมรู้สึกได้ถึงความสุขที่มีคนคอยเชียร์มากกว่าใครๆ ครับ ตอนนี้ทุกครั้งที่เห็นแท่งไฟสีเหลืองมากมายกระพริบอยู่ในไลฟ์ก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ให้กับแสงแต่ละอัน แต่ละอันเลยครับ แน่นอนว่าผมรู้สึกขอบคุณแฟนที่คอยเชียร์อยู่แม้จะไม่ได้เจอกันที่สถานที่จัดงานด้วยเช่นกันครับ ท่ามกลางดารามากมายขนาดนี้ การที่หา King & Prince พบ และหาผมพบนั้นเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เลย ดังนั้นอย่าจากไปไหนนะ จากนี้ก็อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ ถ้าความรู้สึกที่ว่าเรามาพยายามไปด้วยกันนะส่งไปถึงได้จะดีมากเลยครับ

──เด็กชายที่เคยร้องไห้ไม่ยอมไปออดิชั่นในสมัยก่อน กลายมาเป็นสมาชิกของวงไอดอลที่กำลังจะเข้าสู่ครบรอบเดบิวต์ปีที่ 5 แล้วแบบนี้ มหัศจรรย์มากเลยนะ

💛 คำที่จอห์นนี่ซังพูดไว้และผมไม่เคยลืมเลยนั่นคือ “ไอดอลคืองานที่ทำให้ผู้คนมีความสุขนะ” น่ะครับ ไอดอลเนี่ยเป็นงานที่อยู่เคียงข้างความรู้สึกของทุกคนใช่ไหมล่ะครับ เวลามีเรื่องทุกข์ใจ ต้องการการเยียวยา อยากได้ความกระปรี้กระเปร่าในวันพรุ่งนี้ พวกเราอยู่เคียงข้างพวกคนเหล่านั้น ยิ่งทำให้ใครสักคนยิ้มได้มากเท่าไหร่ ตัวเราเองก็จะยิ้มตามไปด้วย ไอดอลคืองานในฝันจริงๆ ครับ ผมรักการเป็นไอดอลครับ แม้จะมีหลายครั้งที่คิดว่าคงไม่เหมาะ ไม่ไหวแล้วก็ตาม ดีใจที่ผมไม่ได้เลิกเป็นไอดอล ถึงจะเกิดใหม่ก็อยากทำงานไอดอลอีกครับ



สัมภาษณ์・เรียบเรียง / Mizuno Mitsuhiro


Post a Comment

0 Comments