BAKAMONO IN JAPAN : DAY 3 – HAKONE IN THE RAIN

บันทึกการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตของกะเหรี่ยงสาวชาวไทยผู้หลงใหลญี่ปุ่น กับทริปลุยเดี่ยวเปรี้ยวสุดๆ ณ ประเทศในฝัน

 

          วันที่ 20 พฤษภาคม 2013…

 

IMG_2647

          ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ตี 4 เพราะตอนแรกสุดตั้งใจว่าเช้านี้จะไปแช่ออนเซ็นอีกสักรอบก่อนออกจากโรงแรม ตื่นขึ้นมาพอดีเวลานาฬิกาปลุกอีกตามเคย เดินออกไปที่หน้าต่าง กดรูปบรรยากาศเช้านี้มาแชะนึง อากาศกำลังเย็นสบายก็เลยไปซุกตัวนอนต่ออีกสักหน่อยเพราะไม่ได้รีบอะไร อย่างน้อยก็ชดเชยที่ได้นอนน้อยสุดๆตั้งแต่ออกเดินทางมา กว่าจะตื่นมาแต่งตัวจริงๆก็หกเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว แผนการเข้าออนเซ็นอีกรอบเลยต้องยกเลิกไป อากาศเย็นๆแบบนี้แค่ล้างหน้าแปรงฟันก็สุดๆแล้ว อาบน้ำไม่ไหวจริงๆ

 

IMG_2648

          เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมง ถือได้ว่าค่อนข้างสาย แต่เราก็รู้สึกดีสุดๆเพราะได้พักผ่อนเต็มที่จริงๆ จะได้มีแรงสู้กับวันที่เหลือต่อ พอออกจากที่พักแล้วก็ขอเดินออกไปถ่ายรูปทะเลสาบยามเช้าสักนิด มีนกเป็ดน้ำออกมาเดินเล่น มีคนมาตกปลา และด้วยความที่วันนี้เป็นวันจันทร์ก็เลยเห็นเด็กนักเรียนทั้งเดินและปั่นจักรยานไปโรงเรียนกันเยอะแยะมากมาย

 

kawa

          ถึงแม้จะอากาศดีแค่ไหน แต่บรรยากาศเห็นแล้วก็รู้เลยว่าพยากรณ์อากาศไม่พลาดชัวร์ ยังไงวันนี้ฝนก็ตกแน่ๆ ช่วงเช้านี้เดินไปสถานีสายกว่าที่ตั้งใจไว้ เราลองเดินตามแผนที่ที่เอามาตั้งแต่แรกดูด้วยการเดินเลียบทะเลสาบกลับไปสถานีคาวากุจิโกะ ระหว่างทางก็แวะซื้อข้าวปั้นเดินกินไปด้วยพอให้หายท้องร้อง (ชีวิตนี่พึ่งพาข้าวปั้นเป็นส่วนใหญ่จริงๆ) ที่ต้องเดินเพราะรถ Retro bus ยังไม่วิ่งนั่นเอง ไม่อย่างนั้นก็ตั้งใจจะนั่งรถไปสถานี เก็บแรงเอาไว้เดินที่ฮาโกเน่วันนี้อยู่เหมือนกัน

 

IMG_2652

          ถึงจะต้องเดินก็บ่ยั่น ด้วยความที่ชาร์จพลังงานมาเต็มที่แล้วก็เลยเดินเรื่อยๆเปื่อยๆ ดูสองข้างทางให้เต็มที่ เชื่อคำพูดหลายๆคนที่บอกว่าจริงๆแล้วจุดหมายอาจไม่สำคัญเท่าระหว่างทางไป เพราะมันมีอะไรหลายๆอย่างที่น่าดูระหว่างทางให้เราได้มองและจดจำ เสียดายที่วันนี้ฟูจิไม่ออกมาส่งเราและไม่เห็นวี่แววของฟูจิเลยตลอดทั้งวัน

          พอเดินไปถึงสถานีคาวากุจิโกะ เราก็ไปนั่งรอรถบัสที่จะไปโกเทมบะ ตอนนี้ฝนเริ่มตกปรอยๆแล้ว พอขึ้นรถ โชว์บัตรเบ่งเรียบร้อยก็นั่งหลับยาวไปจนถึงสถานี Gotemba ไม่คิดว่าขาไปฮาโกเน่จะใช้เวลานานเป็นชั่วโมงแบบนี้ เพราะตอนที่มาจากชินจุกุใช้เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ แต่ไปฮาโกเน่ที่ใกล้กว่าชินจุกุก็ใช้เวลาพอๆกัน อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เป็นไปได้ว่าเพราะฝนตกทำให้รถต้องวิ่งช้าลง หรือไม่ก็เส้นทางคดเคี้ยว

          มาถึงสถานีโกเทมบะก็เกือบ 11 โมงแล้ว ฝนตกแรงขึ้น ลมพัดมาอากาศหนาวมากจนเสื้อเอาไม่อยู่ บวกกับไม่มีร่มเลยต้องเอาเสื้อคลุมคลุมหัวแล้ววิ่งไปก่อน ไม่อยากเป็นหวัดตั้งแต่ตอนเริ่มทริปสักเท่าไหร่ เดินตัดสถานีไปที่ป้ายรถเมล์แบบมึนๆเล็กน้อยพร้อมกับตารางรถบัสของฮาโกเน่ที่มึนสุดๆ ที่ศึกษามาตอนก่อนนอนไม่ได้ช่วยให้เข้าใจเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ และที่ป้ายรถุเมล์นี่เองที่เราได้เจอความประทับใจแบบมากๆจากคนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

         คือเรายืนๆเก้ๆกังๆอยู่ แล้วก็ถามบางคนแถวนั้นว่าเราจะไปโกระ รถคันนี้ผ่านไหม อะไรแบบนี้ มีคุณยายคนนึงเข้ามาถามเราว่ามีอะไรให้ช่วยไหม จะไปไหนหรือ (แน่นอน คุณยายถามภาษาญี่ปุ่น ไม่ได้ถามเป็นอังกฤษทั้งที่รู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว) แล้วก็มาช่วยดูตั๋ว ดูตารางเวลารถ แล้วก็ถามคนแถวนั้นด้วยอีกแรง มีคุณลุงคนนึงเข้ามาช่วยดูด้วย แล้วก็คอยแนะนำ พาไปป้อมที่เป็นสถานีรถตรงนั้นให้ คอยอยู่ช่วยฟังช่วยบอกว่าถ้าไปต้องไปแบบนี้นะๆๆ ขึ้นคันนี้ไปลงที่นี่แล้วต่อจากที่นี่ไป แล้วถามคนที่ป้ายรถให้ด้วยว่ามีใครไปโกระไหม ไปกับคนนี้ไหม เค้าจะไปเหมือนกัน บลาๆๆ คือคอยช่วยเหมือนเป็นเรื่องของตนเองมากจนกระทั่งเราได้ขึ้นรถ และคอยย้ำว่าต้องไปแบบนี้ๆ คือเราประทับใจในจุดนี้มากว่าคนไม่รู้จักกันแท้ๆ แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ช่วยกันสุดตัวมากๆเหมือนเป็นเรื่องของตัวเอง เราไม่คิดว่าจะได้รับน้ำใจแบบนี้ในต่างบ้านต่างเมืองถึงขนาดนี้นะ ถึงอากาศข้างนอกจะหนาว แต่ในหัวใจนี่อุ่นมากกับความใจดีของคนญี่ปุ่น

          หลังจากได้ขึ้นรถมาก็นั่งฝ่าสายฝนไปจนถึง Gotemba Premium Outlet ไปเปลี่ยนรถอีกสายเพื่อไปโกระ แล้วก็ได้คุยกับคุณป้าที่มาด้วยกันจากสถานีโกเทมบะระหว่างรอ คุณป้าบอกว่ามาจากโอกินาว่า เห็นว่ามาเที่ยวแล้วก็จะไปหาคนรู้จักที่โกระนี่แหละ พอแกรู้ว่าเรามาจากไทยแล้วมาเที่ยวคนเดียว แกก็ว่าเก่งนะเดินทางคนเดียวเนี่ย เราว่าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่อาศัยว่ากล้าถามกล้าแถแค่นั้นแหละ ซึ่งเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเดินทางคนเดียวเท่านั้น

 

IMG_2666

         ด้วยเส้นทางในฮาโกเน่ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขา เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่จึงต้องนั่งรถบัสซึ่งมีหลายสายมากๆ รถไฟไม่สามารถพาเที่ยวได้ทั่ว เรานั่งรถไปถึงโกระซึ่งเป็นจุดใหญ่ในการเปลี่ยนรถเพื่อไปขึ้นเคเบิลคาร์ มุ่งสู่จุดหมายแรกของวันนี้ ซึ่งระหว่างทางป้ายรถเมล์เยอะมาก และขึ้นลงเขาใช้เวลาพอสมควรด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกลงมาทั้งวัน มันชื้นๆแฉะๆ หนาวก็หนาว ไม่สบายตัวเท่าไหร่ ที่ว่าฝนของญี่ปุ่นตกแบบน่ารำคาญนี่ก็จริง คือมันไม่ได้ตกหนักๆทีเดียวแล้วหยุดแบบที่ไทย แต่มันจะตกปรอยๆ เรื่อยๆเอื่อยๆทั้งวัน หยุดแปปๆก็ปรอยๆลงมาอีก เป็นฝนแบบที่ชวนให้จับไข้เป็นที่สุด

 

cablecar

          นั่งรถเหวี่ยงขึ้นลงเขาอีกพักใหญ่ก็มาถึงสถานีโกระ เรามาขึ้น Cablecar ไปเพื่อขึ้น Hakone Ropeway ที่ Souunsan ที่จะต่อขึ้นไปยัง Owakudani อีกทีนึง ด้วยความที่ตอนนี้ฝนเริ่มลงหนาเม็ดขึ้น เราว่าถ้าเราเดินแบบนี้ต่อไปงานนี้หวัดกินจริงๆแน่ เลยตัดสินใจซื้อร่มจากร้านตรงสถานีโกระก่อนจะไปขึ้นเคเบิลคาร์ ระหว่างทางที่ขึ้นไปมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ฝนกับหมอกเต็มไปหมด

          ช่วงที่นั่งกระเช้าขึ้นไปก็เจอกับครอบครัวคนไทยในกระเช้าเดียวกัน คือไปที่ไหนก็มีแต่คนไทยจริงๆ (เหมือนกับอยู่กรุงเทพแล้วไปที่ไหนก็เจอแต่คนญี่ปุ่น) เค้าก็ชี้โน่นชี้นี่ดูไปเรื่อยแล้วคุยกัยอยู่ครอบครัวเดียวในกระเช้า เค้าก็พูดขึ้นมาประมาณว่า เค้าคงงงกันว่าพวกนี้มันพูดอะไรกัน เรานั่งหันหลังดูฝนข้างนอกอยู่แอบคิดในใจว่า รู้ค่ะว่าพูดอะไร แค่ไม่อยากแสดงตัวว่าฟังรู้เรื่อง ฮ่าๆ

 

owakudani2

          ขึ้นมาถึงสถานี Owakudani ที่เป็นจุดหมายแรกของเราแล้ว ฝนข้างนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราก็เลยเดินกางร่มออกไปข้างนอก ถึงแม้ฝนจะโปรยลงมาขนาดนี้ แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะพอสมควร บรรยากาศกลางสายฝนแบบนี้ หุบเขานรกดูลึกลับกว่าที่เคย

 

mascot

          แวะไปหลบฝนในร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าก่อนเข้าไปยังตัวหุบเขานรกของจริง มาสคอสไข่ออนเซ็นตั้งอยู่เต็มไปหมดทั้งในร้านและนอกร้าน ของที่ระลึกก็ไม่พ้นสินค้าที่เกี่ยวกับออนเซ็นและไข่ดำ ขนมก็ไข่ออนเซ็น และไข่ออนเซ็นเพียวๆให้ซื้อชิมก็อีกหลายเคาเตอร์ เราเดินดูของฝากไปเรื่อยๆและเลือกขนมมาสามสี่แบบ พร้อมกับได้ที่ห้อยมือถือที่ระลึกติดมือกลับมาอีกหลายอันด้วย

 

owakudani1

          จากนั้นก็ได้เวลาไปเยือนหุบเขานรก ยิ่งเดินเข้าไปกลิ่นกำมะถันก็ยิ่งโชยแรงขึ้นเรื่อยๆ น้ำที่ไหลลงมาระหว่างทางทำเอาดินเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีขาวๆแสดงถึงความเข้มข้นของแร่ธาตุในน้ำพุร้อนที่นี่ ทั้งฝนและหมอกทำให้แทบมองและถ่ายรูปอะไรไม่เห็นเลย ปกติที่นี่ก็มีควันเยอะอยู่แล้วเพราะอุณหภูมิน้ำร้อนมากขนาดต้มไข่สุก ยิ่งฝนตกก็เลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ บรรยากาศเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในแดนสนธยาสมชื่อสถานที่จริงๆ

 

owakudani3

          ยังไงก็ตาม ระหว่างทางขึ้นไปก็ร่มรื่นมิใช่น้อย เห็นต้นไม้สีเขียวๆแล้วก็สดชื่นดี ข้างบนมีร้านขายไข่ออนเซ็น 5 ฟอง 500 เยนอีกหนึ่งร้าน แน่นอนว่าเราเลือกที่จะไม่กินเพราะไปคนเดียว ไม่สามารถกินหมด 5 ฟองหรือซื้อแล้วแบกกลับตลอดทางที่เหลือกลับมากินต่อได้ เพราะฉะนั้น… ลาก่อน 7 ปี (ฮา) ด้วยความที่มันเป็นภูเขาด้วย ฝนตกด้วย พอเดินขึ้นไปด้วยสปีดปกติของตัวเองก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน แต่พักแปปๆก็หาย

          หลังจากนั้นก็ได้เวลาอันสมควรที่เราจะลงจากภูเขา ไปทะเลสาบอะชิกันแล้ว ขาลงรอบนี้ฝนหยุดตกไปแปปนึง ทำให้เราได้เห็นวิวของทะเลสาบระหว่างทางลงภูเขาชัดเจน เราลงไปรอที่ท่าเรือโทเก็นได ถ่ายรูปเรือพร้อมกับหาอะไรกินรองท้องพลางๆรอเวลาเรือออก

 

boat

          ก่อนขึ้นเรือโจรสลัดท่องทะเลสาบ ฝนก็ลงเม็ดมาอีกรอบให้บรรยากาศเหมือนจะไปออกทะเลจริงๆ ข้างในเรือมีการตกแต่งอย่างสวยงาม มีดาดฟ้าเรือให้ขึ้นไปชมวิวทะเลสาบในหุบเขา ข้างในมีร้านขายขนมและของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆด้วย

 

IMG_2733

          เราก็นั่งในเรือพอให้หายหนาวสักพักก็ขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ฝนยังคงตกต่อเนื่องทำให้เราไม่อยากปีนขึ้นไปด้านบนรับลมฝนเต็มๆ ได้แค่ถ่ายรูปจนพอใจแล้วลงมานั่งข้างล่างดูวิวไปเรื่อยๆพร้อมกับเตรียมตัวเพราะเราต้องลงที่ท่า Hakonemachi ซึ่งจะเข้าเทียบก่อน

 

IMG_2741

          ลงจากเรือที่ท่าเรือนี้ตามแผนว่าจะเดินยาวตามเส้นทางที่วางแผนไว้ พร้อมกับภาวนาว่า อย่าให้มันมืดก่อนเลยนะ เห็นท้องฟ้ายังมืดครึ้มแบบนี้ก็ใจไม่ดีเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ฝนหยุดแล้วก็เลยเดินไปแบบสบายๆ

 

IMG_2745

          เดินออกจากท่าเรือมามาเจอถนนลาดยางสีสันแปลกตา ซึ่งเราเห็นแล้วให้ความรู้สึกว่ามันเข้ากับบ้านเมืองแบบบอกไม่ถูก ที่เห็นเป็นแบบนั้นเราเดาว่าน่าจะเป็นกรวดหินที่โรยไว้พร้อมๆกับตอนทำ เพื่อที่จะได้ไม่ลื่นเวลาขึ้นลงเขาและเวลาฝนตก ให้ความรู้สึกที่ว่าเค้าใส่ใจกับความปลอดภัยดีจริงๆ

          จากตรงจุดนี้ เราเดินดูแผนที่ไปพลาง ดูทางข้างหน้าไปพลาง ด้วยสกิลการดูแผนที่ที่มีอยู่น้อยนิดบวกกับเป้หลัง ร่ม และถุงของฝากทำให้ขี้เกียจควักเอามือถือออกมาเปิดดูแผนที่ เดินไปตายเอาดาบหน้าอย่างเดียว แต่สุดท้ายก็ถึงเป้าหมายที่สองจนได้

 

sekisho1

          箱根関所(Hakone Sekisho) หรือ Hakone Checkpoint เป้าหมายถัดมา ที่นี่ในสมัยก่อนเคยเป็นด่านตรวจภาษีเก่า ยังคงบรรยากาศในสมัยเอโดะเอาไว้ทั้งรูปแบบบ้านเรือน และไข่ดำซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของฮาโกเน่ก็ยังตามมาหลอกหลอนถึงที่นี่ด้วย

 

sekisho2

          ตอนแรกสุดตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปดูเพราะต้องเสียค่าเข้าอีก 400 เยน (ได้ส่วนลดแล้ว) แต่คิดไปสักพัก ถือซะว่าเสียเงินเพื่อให้รู้ เราไม่ได้มาบ่อยๆ ก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูข้างในที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แนวประวัติศาสตร์เอาไว้ให้เราได้ศึกษา โดยจำลองภาพสมัยก่อนเอาไว้ทั้งบ้าน จุดตรวจภาษี กองทัพ รวมถึงข้างของเครื่องใช้ในยุคที่ที่นี่ยังเปิดทำการอยู่พร้อมกับรูปปั้นของขุนนางผู้ตรวจการและซามูไรในอิริยาบถต่างๆ พอเดินเข้าไปลึกอีกนิด ข้างในจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของในแบบที่เราไม่สามารถถ่ายรูปได้ พวกเครื่องใช้ของจริง ประวัติศาสตร์ต่างๆของด่านแห่งนี้ และขบวนเสด็จจำลองของโชกุนซึ่งยาวมากๆ จากที่เห็นน่าจะร่วมร้อย ซึ่งในขบวนนั้นก็มีผู้คนในชั้นวรรณะที่หลากหลายมาก

          นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว ด้านวิวก็สวยงามไม่แพ้กัน มีร้านขายของที่ระลึกพร้อมกับที่นั่งกินขนมจิบชาด้านใน มีที่นั่งพักสำหรับคนเดินทางเพราะด้านหลังนั้นเปิดโล่งติดกับที่จอดรถ เหมาะสำหรับนั่งพักขาคลายความเมื่อล้าจากการเดินทางได้ดีทีเดียว

 

IMG_2774

          ออกจากด่านฮาโกเน่มาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือถนนแนวต้นสนโบราณซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง ถึงแม้จะแฉะน้ำฝน แต่เราก็เดินไปอย่างอารมณ์ดีสุดๆ บรรยากาศสดชื่นมาก เราเดินไปพลางมองต้นสนที่อายุเป็นร้อยๆปี ต้องแหงนคอตั้งบ่าดูแล้วก็นึกถึงว่า คนสมัยก่อนที่เดินบนเส้นทางนี้จะรู้สึกอย่างไรนะ มันร่มรื่นและสวยงามจริงๆ รู้สึกดีที่ได้เดินในเส้นทางเดียวกับที่คนสมัยก่อนเคยใช้ และดีใจที่คนรุ่นหลังก็ยังเห็นคุณค่าของต้นไม้ใหญ่ หลงเหลือเส้นทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตรนี้เอาไว้โดยไม่ตัดทิ้ง

 

motohakone

          ระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าฮาโกเน่ เราผ่านบริเวณที่เรียกว่า Motohakone ซึ่งจากจุดนี้จะมีที่ชมวิวเล็กๆ มองเห็น Torii ที่อยู่ในทะเลสาบของศาลเจ้าฮาโกเน่ด้วย แล้วจากนั้นจึงเป็นท่าเรือ Moto-Hakone เราจึงเปลี่ยนจากเส้นทางสนโบราณที่หมดพอดี ข้ามถนนไปเดินเลียบฝั่งทะเลสาบแทน ซึ่งเอาจริงๆถือได้ว่าเดินค่อนข้างไกลมากๆ จากท่าเรือ Hakone Machi จนถึงศาลเจ้า น่าจะไม่ต่ำกว่าห้ากิโลเมตร (แต่เป็นการประมาณด้วยความรู้สึกล้วนๆ)

 

IMG_2789

          พอได้เดินเลียบชายฝั่งแล้วหันกลับไปมองอีกฟากฝั่งถนน ก็ได้เห็นหมอกลงแบบนี้ รถที่ผ่านไปมาก็มีน้อยมาก บรรยากาศแดนสนธยามากๆจนแวบนึงแอบกลัวว่าถ้าเดินเข้าไปแล้วเราอาจไม่ได้กลับออกมาในเวลาเดิมอีกต่อไป

 

IMG_2791

          หันกลับมามองฝั่งทะเลสาบข้างตัว ก็พบป้ายเตือนนักท่องเที่ยวที่เอาเรือล่องไปในทะเลสาบให้ระวังคลื่นสูงกระทันหันเวลาลมพัดแรง ก่อนจะมองไปทางทะเลสาบที่ผ่านมาตะกี้อีกรอบ ไม่น่าเชื่อว่าทะเลสาบในหุบเขาแบบนี้จะมีอันตรายแบบนี้แฝงอยู่ด้วย

 

hakonejinja

          จากนั้นก็ได้เวลาไต่เขาให้เหนื่อย เนื่องจากศาลเจ้าฮาโกเน่อยู่ในบริเวณทางขึ้นเขา แน่นอนว่าหนีไม่พ้นบันไดชันๆที่ต้องเดินกันจนหอบกว่าจะขึ้นไปถึงตัวศาลเจ้าแน่ๆ ตอนที่เราไปใกล้ได้เวลาปิดทำการของศาลเจ้าเต็มที ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ปิดทำการไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ส่วนของศาลเจ้าและที่ขายโอมาโมริยังเปิดทำการอยู่ พอเราขึ้นไปก็ได้พบกับความสงบ ให้ความรู้สึกสบายใจกับสถานที่นี้มากๆ เพราะคนน้อยด้วยส่วนนึง และบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ในหุบเขา แต่ก็มีบริเวณที่เปิดโล่งไม่อึดอัด ชวนให้รู้สึกอยากนั่งเล่นให้ใจสงบอยู่ที่นี่นานๆ

          เราใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกนานพอสมควร เพราะเย็นแล้วด้วยส่วนนึง และฝนตกแบบนี้ สถานที่ที่คิดจะไปถัดไปเราก็ต้องยกเลิกเพราะเป็นสถานที่กลางแจ้งทั้งนั้น อย่างน้อยก็คิดว่าที่ยายามเดินมาจนถึงศาลเจ้าได้มันก็คุ้มค่าที่สุดของวันนี้แล้ว อย่างน้อยได้เจอกับความสงบ หลีกหนีผู้คนมากมายได้สักพักมันก็สบายใจดี

 

IMG_2823

          สุดท้ายนี้ก็ได้เวลาอำลาฮาโกเน่ในสายฝนเสียที ตอนแรกสุดตั้งใจจะย้อนไปโกระอีกรอบ แต่เจอรถบัสที่ไปถึง Hakone-Yumoto เลย ก็เลยนั่งรถคันนั้นไปแล้วค่อยไปเปลี่ยนรถโอดะคิวที่โอดาวาระอีกรอบ แม้วันนี้อากาศจะไม่ดีทั้งวัน แต่อย่างน้อยเราก็ได้เจอกับอะไรดีๆมากมายที่ชดเชยกับสภาพอากาศไปได้และไม่รู้สึกผิดหวังกับการเที่ยวฮาโกเน่ในวันนี้

          ที่สถานีฮาโกเน่ยุโมโตะ เราโดนดักอีกรอบด้วยที่ห้อยมือถือและของอีกหลายชิ้นที่ระบุว่าเป็น “Limited” พอเห็นคำนี้ปุ๊ป แทบจะพุ่งเข้าใส่ไปกวาดมาให้หมดเพราะมันน่ารักสุดๆ แต่ต้องยั้งใจไว้ หยิบมาแค่บางชิ้นพร้อมกับบ่นในใจว่า จะทำของลิมิตออกมาทำไมมากมาย มันเปลืองเงินนะรู้มั้ย!

 

IMG_2824

          จากฮาโกเน่ยุโมโตะ เราเปลี่ยนรถไฟยาวไปจนถึงชินจุกุ และลงไปเดินหาข้าวเย็นกินตอนประมาณสามทุ่ม ด้วยความงกสุดชีวิตก็เลยเดินหาร้านที่มันถูกๆ สุดท้ายไปลงเอยที่ร้านโซบะยืนกิน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามันเป็นร้านยืนกินจนกระทั่งเปิดประตูเข้าไป จะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว กะเหรี่ยงก็เลยโชว์โง่ไปเต็มๆกับการสั่งโซบะร้อนๆมาซด ฮ่าๆ รสชาติอร่อยเลยทีเดียวเชียว อาจด้วยความหิวอีกส่วนนึง ตื่นเต้นส่วนนึง นอกจากนี้ก็หลงเข้าไปเล่นเกมคีบตุ๊กตา หมดไป 500 เยนแล้วก็เริ่มตระหนักได้ว่า ถ้าหลงอยู่ที่นี่ต่อไป เราต้องหมดตัวแน่ๆ ก็เลยถอยฉากออกมาก่อนที่จะได้น้องคุมะมงและโคนี่มาเชยชมและเดินไปขึ้นโตเกียวเมโทรกลับที่พัก (ซึ่งวันนี้หลงน้อยกว่าวันแรกแล้ว)

 

          พอกลับถึงที่พักก็เจอเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ เป็นกรุ๊ปคนอินโดนีเซีย ก็ทักๆคุยๆกันนิดหน่อยว่าเราไปที่นี่ๆมา พออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแทนที่จะรีบนอนก็ไม่รีบ ไปช่วยกันนั่งทำสมุดที่จะให้เรนะในวันพรุ่งนี้ด้วยกันกับจูนและพี่ปอนด์ ตอนแรกก็โอเคอยู่ ไปซื้อเบียร์ไฮบอลแล้วก็ขนมมานั่งกินกันด้วย ไปๆมาๆเริ่มจะไม่ไหว ปลีกตัวไปนอนตอนตีสามเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

          พรุ่งนี้ก็วันคอนเสิร์ตจบการศึกษาของเรนะแล้ว คอนเสิร์ตสดๆครั้งแรกที่เราจะได้ดูวงที่ชอบมาเกือบสิบปีแบบเต็มๆ วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปนะ…. อย่างน้อยก็ขอให้เป็นวันที่น่าจดจำอีกวันหนึ่งก็แล้วกัน

Post a Comment

0 Comments